tag:blogger.com,1999:blog-52115831638062549162024-03-13T22:51:12.179+07:00la-or:sciencef&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.comBlogger24125tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-32135054302626212642010-01-20T11:58:00.000+07:002010-01-20T12:00:32.874+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.6 เรื่อง การอนุรักษ์สัตว์<strong><span style="color:#993399;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.6 เรื่อง การอนุรักษ์สัตว์</span></strong><br /><br />การคุ้มครองและสงวนรักษาพันธุ์สัตว์<br />การทำลายสัตว์ก่อให้เกิดผลเสียอย่างมากมาย รัฐบาลได้ออกฎหมายเพื่อคุ้มครองสัตว์ป่า เรียกว่า พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ขึ้น โดยให้ความหมายของสัตว์ป่าไว้ ดังนี้<br />สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ซึ่งเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำอย่างอิสระในธรรมชาติ ไม่มีใครเลี้ยงดูและเป็นเจ้าของ รวมทั้งไข่ของมัน<br /><br />ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้แบ่งสัตว์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ<br />1. สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าหายาก ห้ามล่าโดยเด็ดขาด และห้ามมีไว้ในครอบครอง มี 15 ชนิด<br />1) นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร 9) กวางผา<br />2) แรด 10) นกแต้วแล้วท้องดำ<br />3) กระซู่ 11) นกกระเรียน<br />4) กูปรีหรือโคไพร 12) แมวลายหินอ่อน<br />5) ควายป่า 13) สมเสร็จ<br />6) ละองหรือละมั่ง 14) เก้งหม้อ<br />7) สมันหรือเนื้อสมัน 15) พะยูนหรือดุหยง<br />8) เลียงผา<br /><br />2. สัตว์ป่าคุ้มครอง หมายถึง สัตว์ป่าที่มีชื่ออยู่ในบัญชีแนบท้าย <a href="http://www.dnp.go.th/p_wildlife/Protectwave/Minister4update.pdf">กฎกระทรวง กำหนดให้เป็นสัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2546</a> ตาม<a href="http://www.dnp.go.th/p_wildlife/Protectwave/Masterlaw2535.pdf">พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535</a> ประกอบด้วยสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 201 ชนิด นก 952 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 91 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 12 ชนิด แมลง 20 ชนิด ปลา 14 ชนิด และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ 12 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />1) สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 หมายถึง หมายถึง สัตว์ป่า ซึ่งคน ไม่ใช้ เนื้อเป็นอาหาร ไม่ล่าเพื่อการกีฬา เป็นสัตว์ที่ทำลายศัตรูพืช หรือขจัดสิ่งปฏิกูล หรือเป็นสัตว์ป่าที่ควรสงวนไว้เพื่อประดับความงามตามธรรมชาติหรือสงวนไว้เพื่อไม่ให้ลดจำนวนลง สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 นี้ ห้ามไม่ให้ล่าด้วยวิธีทำให้ตาย เว้นแต่จะทำเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิชาการ สัตว์ป่าประเภทนี้ ส่วนใหญ่เป็นนก ได้แก่ นกกาน้ำทุกชนิด นกกระสา นกกระทาดง ไก่ฟ้าทุกชนิด นกโกโรโกโส นกกะปูด นกกะเต็น นกกางเขนบ้าน นกเขา นกเค้าแมวทุกชนิด นกเงือกทุกชนิด นกตีทอง ฯลฯ นอกนั้น ได้แก่ ค่างทุกชนิด ชะนีทุกชนิด ชะมด บ่าง แมวป่า ลิงลมหรือนางอาย ลิงทุกชนิด เสือลายเมฆ เสือไฟ เสือปลา หมีขอ หรือบินตุรง หมูหริ่ง หมาหริ่ง อีเห็น เป็นต้น<br />2) สัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 2 หมายถึง หมายถึง สัตว์ป่าซึ่งตามปกติ คนใช้เนื้อเป็นอาหาร หรือล่าเพื่อการกีฬา สัตว์ป่าประเภท มีหลายชนิด เช่น กระทิง กระจงทุกชนิด กวาง วัวแดง เสือโคร่ง เสือดาว หมีควายหรือหมีดำ หมีหมา หรือหมีคน ส่วนใหญ่ เป็นสัตว์ประเภทนกอีกเช่นเดียวกัน ได้แก่ นกกระสา นกกระทา ไก่ป่า นกแขวก นกเป็ดน้ำ นกปลาซ่อม ทุกชนิด นกพริก นกอีลุ้ม ฯลฯ สัตว์ป่า คุ้มครองประเภทที่ 2 นี้ ตามกฎหมายอนุญาตให้ล่าได้ ให้มีไว้ใน ครอบครองได้ แต่ต้องได้รับอนุญาต และมีใบอนุญาตติดตัวอยู่ตลอดเวลา<br /><br />จากพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ห้ามมิให้ผู้ใดล่าและมีไว้ในครอบครอง ยกเว้น<br />1) เพื่อการสำรวจ 3 ) เพื่อการเพาะพันธุ์<br />2) เพื่อการศึกษา และการวิจัยทางวิชาการ 4 ) เพื่อกิจกรรมสวนสาธารณะของทางราชการ<br /><br />ข้อห้ามข้อบังคับบางประการจากพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ที่ควรทราบมีดังนี้<br />· สัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นสัตว์ป่าที่ห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />· ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าไม่ว่าชนิดใด ห้ามล่าสัตว์ เก็บรัง ครอบครองที่ดิน แผ้วถาง หรือเปลี่ยนแปลงแหล่งน้ำ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />· ห้ามครอบครองสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่สัตว์ที่ครอบครองเป็นสัตว์ที่มาจากการเพาะพันธุ์ที่ไม่ถูกต้อง จะต้องโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />· ห้ามเพาะพันธุ์สัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />· ในกรณีที่การล่าเป็นการล่าเพื่อปกป้องตนเองหรือผู้อื่นหรือทรัพย์สิน หรือเหตุอื่นที่เห็นว่าเป็นการกระทำที่ควรแก่เหตุ ไม่ต้องรับโทษ<br />· การห้ามการครอบครองและห้ามค้า มีผลไปถึงไข่และซากของสัตว์เหล่านั้นด้วย<br />· ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรังของสัตว์ ยกเว้นรังนกอีแอ่น (นกแอ่นกินรัง) ซึ่งต้องได้รับอนุญาตเช่นกัน<br /> http://www.ku.ac.th/AgrInfo/wild/index.html<br /><a href="http://www.msu.ac.th/satit/studentProj/2547/pj102-2-2547/g03-Biological/A.htm">http://www.msu.ac.th/satit/studentProj/2547/pj102-2-2547/g03-Biological/A.htm</a>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-81715439509370721742010-01-20T11:56:00.000+07:002010-01-20T11:57:19.715+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.5 เรื่อง สารปรุงแต่งอาหาร<strong><span style="color:#cc33cc;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.5 เรื่อง สารปรุงแต่งอาหาร</span></strong><br />นอกจากที่เราจะต้องรับประทานอาหารให้ร่างกายได้รับพลังงานเหมาะสมตามความต้องการของร่างกายแล้วนั้น เรายังต้องรับประทานอาหารที่ดี นั่นคือรับประทานอาหารที่ไม่ใส่วัตถุปรุงแต่งอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเราสามารถตรวจสอบได้จากฉลากข้อมูลทางโภชนาการ ซึ่งจะบอกให้เราทราบถึงชนิดและปริมาณของวัตถุที่ปรุงแต่งอยู่ในอาหารนั้นๆ และที่สำคัญเราควรสังเกตตราสัญลักษณ์รับรองอาหารที่ได้มาตรฐานอีกด้วย<br />สัญลักษณ์ขององค์การอาหารและยา<br /><br />สารปรุงแต่งอาหาร<br /> สารปรุงแต่งอาหาร หมายถึง สารปรุงรสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทำให้อาหารมีรสดีขึ้น เช่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ และให้รสชาติต่างๆ เช่น<br /> - น้ำตาล ให้รสหวาน - เกลือ น้ำปลา ให้รสเค็ม - น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยว<br />ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร โดยใช้ที่มาของสารเป็นเกณฑ์<br />แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ<br /> 1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น<br /> 2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก อัญชัน เป็นต้น<br /><br />ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร โดยใช้อันตรายของสารเป็นเกณฑ์แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทที่ไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย ได้แก่ 1.1 สีต่าง ๆ ที่ใช้ผสมอาหาร ซึ่งเป็นสีธรรมชาติ ได้แก่ สีเขียว จากใบเตยหอม พริกเขียว สีเหลือง จากขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ลูกตาลยี ไข่แดง ฟักทอง ดอก คำฝอย สีแดง จากดอกกระเจี๊ยบ มะเขือเทศ พริกแดง ถั่วแดง ครั่ง สีน้ำเงิน จากดอกอัญชัญ สีดำ จากกากมะพร้าวเผา ถั่วดำ ดอกดิน สีน้ำตาล จากน้ำตาลเคี่ยวไหม้ หรือคาราเมล 1.2 สารเคมีบางประเภท ได้แก่ 1.2.1 สารเคมีประเภทให้รสหวาน เช่น น้ำตาลทราย กลูโคส แบะแซ 1.2.2 สารเคมีบางประเภทให้รสเปรี้ยวในอาหาร เช่น กรดอะซีติก (กรดน้ำส้ม) กรดซิตริก (กรดมะนาว) 1.2.3 สารเคมีที่เป็นสารแต่งกลิ่น เช่น น้ำนมแมว หรือหัวน้ำหอมจากผลไม้ 2. ประเภทที่อาจเกิดอันตรายหากใช้เกินขอบเขต 2.1 สีผสมอาหาร ได้จากการสังเคราะห์สารเคมี แม้กฎหมายกำหนดให้ใช้สีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารได้ แต่หากใช้ในปริมาณมากและบ่อยก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคได้ ปริมาณสีที่อนุญาตให้ใช้ผสมในอาหารประเภทเครื่องดื่ม ไอศกรีม ลูกกวาด และขนมหวาน 2.2 ผงชูรส เป็นสารปรุงแต่งรสอาหาร มีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียม กลูตาเมท ผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง หรือ จากกากน้ำตาล ลักษณะของผงชูรสแท้จะเป็นเกล็ดหรือผลึกสีขาวขุ่น ปลายทั้ง 2 ข้างโตและมัน ตรงกลางคอดเล็กคล้ายกระดูก ไม่มีความวาวแบบสะท้อนแสง มีรสชาติคล้ายเนื้อต้ม ปริมาณที่ใช้ควรเพียงเล็กน้อย ถ้าบริโภคมากเกินไปอาจมีอาการแพ้ผงชูรสได้ ควรใช้ผงชูรสประมาณ 1/500-1/800 ส่วนของอาหารหรือประมาณ 1 ช้อนชาต่ออาหาร 10 ถ้วยตวง และไม่ควรใช้ผงชูรสในอาหารทารกและหญิงมีครรภ์ 2.3 สารเคมีที่ใช้กันเสียกันบูด เป็นสารประกอบทางเคมีหรือของผสมของสารประกอบที่ใช้เติมลงในอาหาร เพื่อชะลอการเน่าเสียหรือยืดอายุการเก็บอาหาร โดยจะไปทำให้การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์หยุดชะงักหรือตายได้ กรณีที่จำเป็นต้องใช้ควรเลือกวัตถุกันเสียที่ปลอดภัยและใช้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของอาหาร 3. ประเภทเป็นพิษไม่ปลอดภัย เป็นอันตรายต่อชีวิตได้<br /> ปัจจุบันได้มีการใช้สารเคมีต่าง ๆ ปรุงแต่งอาหารเพื่อให้อาหารน่ารับประทานเก็บได้นานรวมทั้งราคาถูก และจากการตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐพบว่า มีการใช้สารเคมีที่กฎหมายห้ามใช้ในการปรุงแต่งในอาหาร ซึ่งทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคถึงชีวิตf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-29762709538975983662010-01-20T11:55:00.002+07:002010-01-20T11:56:36.617+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.4 เรื่อง พฤติกรรมการกินอาหาร<strong><span style="color:#6666cc;">ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย ได้มี "ข้อแนะนำการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพของคนไทย" (Food Based Dietary Guildlines) 9 ข้อ ดังนี้<br /></span></strong> 1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว<br /> ข้อแนะนำนี้เป็นข้อแนะนำหลัก ยึดอาหารหลัก 5 หมู่ และเพิ่มความสำคัญของการกินอาหารแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด น้ำหนักตัวเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างง่ายถึงภาวะสุขภาพ ในผู้ใหญ่ที่กินอาหารได้เหมาะสมจะมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม มีรูปร่างที่ไม่อ้วนหรือผอมเกินไปและมีน้ำหนักตัวค่อนข้างคงที่ หากสังเกตเห็นว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำหนักปกติ แสดงให้เห็นว่าเริ่มกินอาหารมากเกินไปแล้ว ควรจะต้องหันมาควบคุมลดปริมาณให้น้อยลง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เสื้อผ้าคับก่อนที่เริ่มรู้สึกตัวเพราะเสื้อผ้าสมัยใหม่มักนิยมใช้สายยืดเพื่อให้สวมใส่สบาย หรือหากพบว่าน้ำหนักตัวลดลงเรื่อยๆ ก็ควรต้องให้ความสนใจพร้อมทั้งสังเกตว่ามีการอ่อนเพลีย ง่วง ซึม หรืออาการที่แตกต่างไปจากปกติเกิดขึ้นด้วยหรือไม่ ถ้ามีอาการมากควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ สำหรับเด็ก ร่างกายมีการเจริญเติบโต น้ำหนักตัวควรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่เหมาะสม ดังนั้น ควรหมั่นชั่งน้ำหนักตัวอย่างน้อยเดือนละครั้ง<br /> 2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ เพื่อเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของคนไทย จึงให้ความสำคัญกับการกินข้าวเป็นอาหารหลัก ถ้าเป็นไปได้ ควรกินข้าวซ้อมมือ เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีนและใยอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว ส่วนอาหารแป้ง เช่น ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ให้กินเป็นบางมื้อ อาหารแป้งเป็นอาหารที่ผ่าน-การแปรรูป ใยอาหารจะมีน้อยกว่าในข้าว<br /> 3. กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ อาหารหลัก 5 หมู่ ของไทยมีเอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การจัดแยกพืชผัก และผลไม้เป็นอาหารหลักคนละหมู่ เนื่องจากประเทศไทยมีพืชผักและผลไม้อุดมสมบูรณ์ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกบริโภคได้ตลอดปี พืชผักและผลไม้ให้สารอาหารที่สำคัญหลายชนิด คือ วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร และให้สารอื่นที่มิใช่สารอาหาร เช่น สารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเนื้อเยื่อและผนังเซลล์ ช่วยชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูสดใส ไม่แก่เกินวัย นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรที่ช่วยรักษาสุขภาพ<br /> 4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ เป็นการกินอาหารที่ให้โปรตีน โดยเน้นปลาและอาหารประเภทถั่วเมล็ดแห้ง เช่น เต้าหู้ชนิดต่างๆ สำหรับเนื้อสัตว์ให้เลือกที่ไม่ติดมัน หรือที่มีมันน้อย ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ควรกินเป็นประจำ เด็กควรกินวันละฟอง ผู้ใหญ่ภาวะปกติควรกินวันเว้นวัน หรือสัปดาห์ละ 2-3 ฟอง ส่วนคนที่มีปัญหาภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือดควรลดปริมาณลง<br /> 5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย บางคนอาจมองเห็นว่าน้ำนมเป็นอาหารของต่างชาติ ไม่ควรส่งเสริมการบริโภค น่าจะให้คนไทยไปบริโภคอาหารอย่างอื่นจะดีกว่า อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาโดยรวม จะเห็นได้ว่าน้ำนมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของโปรตีน แคลเซียม วิตามินบี 2 และแร่ธาตุต่างๆ นอกจากนี้น้ำนมเป็นอาหารที่กินง่าย ราคาไม่แพงเกินไป มีหลายชนิดหาได้ทั่วไป จีงเป็นการสะดวกที่จะใช้เป็นอาหารสำหรับคนทุกวัย<br /> ในกรณีที่ห่วงว่าดื่มนมมากๆ อาจทำให้อ้วน ผู้บริโภคสามารถเลือกดื่มนมพร่องไขมันได้ และในเวลาเดียวกันควรควบคุมปริมาณไขมันในอาหารชนิดอื่นด้วย เพราะเพียงไขมันจากน้ำนมอย่างเดียวไม่น่าที่จะทำให้เกิดโรคอ้วน ปริมาณที่แนะนำคือ เด็กควรดื่มวันละ 1-2 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุควรดื่มวันละ 1 แก้ว<br /> 6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ถึงแม้ไขมันจะเกี่ยวข้องกับปัญหาโภชนาการ เช่น โรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูงที่นำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือดได้ แต่ร่างกายต้องการไขมันเพื่อสุขภาพด้วยเช่นกัน เพียงแต่จะต้องควบคุมปริมาณและชนิดของไขมันที่จะบริโภคให้เหมาะสม ลดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น หมูสามชั้น ขาหมูพะโล้ และอาหารที่ใช้น้ำมันหรือกะทิจำนวนมากในการประกอบอาหาร<br /> 7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด ส่วนประกอบสำคัญของอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด ได้แก่ น้ำตาล และเกลือแกง ซึ่งส่วนประกอบทั้ง 2 ชนิดเมื่อบริโภคมากเกินไป พบว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง วิธีปฏิบัตินอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัดและเค็มจัดแล้ว ผู้บริโภคควรพยายามรับประทานอาหารที่มีรสธรรมดา ไม่ควรที่จะต้องเติมน้ำตาลหรือเกลือเพิ่มเติมในอาหารที่ปรุงแล้ว หรือหันมากินอาหารแบบไทยเดิม ที่มีกับข้าวหลายชนิดเพื่อให้เกิดรสชาติที่หลากหลาย<br /> 8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน การกินอาหารที่สะอาดนับเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยลดอันตรายจากสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ซึ่งอาจเป็นเชื้อโรค พยาธิ สารพิษ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ผู้บริโภคควรเลือกซื้ออาหารจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ มีการผลิตที่ถูกต้อง มีการเก็บรักษาที่เหมาะสม อาหารสำเร็จรูปควรบรรจุในภาชนะที่เหมาะสม สะอาด มีฉลากที่ถูกต้อง บอกวันหมดอายุ ส่วนประกอบ ชื่ออาหาร สถานที่ผลิต นอกจากนี้ผู้บริโภคควรมีสุขนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหาร เช่น การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร การใช้ช้อนกลาง หรือใช้อุปกรณ์หยิบอาหารมากกว่าการใช้มือ<br /> 9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เมื่อดื่มมาก จะมีผลทำให้การทำงานของระบบสมองและประสาทช้าลง ทำให้เกิดการขาดสติได้ง่าย ที่จะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคตับแข็งและการขาดสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด ดังนั้นควรลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด<br /><br />http://www.nurse.cmu.ac.th/hf/nutrition1/nine.htmf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-31129672100455539342010-01-20T11:55:00.001+07:002010-01-20T11:55:51.532+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.3 เรื่อง สุขภาพดีด้วยอาหาร<strong><span style="color:#33ffff;">อาหารที่เหมาะกับเพศและวัย</span></strong><br /> เด็กทารกถึงเด็กช่วงวัยเรียนต้องการปริมาณโปรตีนสูงกว่าวัยอื่น ๆ เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว วัยรุ่นและวัยกลางคนทั้งชายและหญิงต้องการพลังงานสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในวันหนึ่งๆ มากกว่าวัยอื่น หญิงมีครรภ์หรือหญิงที่อยู่ในระยะให้นมบุตรต้องการสารอาหารสูงกว่าบุคคลทุกวัย โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส<br /> จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าความต้องการสารอาหารของแต่ละคน มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้<br />1. อายุ<br />2. เพศ<br />3. รูปร่าง โครงสร้างร่างกาย<br />4. กิจกรรมต่างๆ ที่ทำ<br />5. ภาวะสุขภาพขณะนั้น<br />ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความต้องการพลังงานของแต่ละบุคคล โดยเราควรรับประทานอาหารให้ได้พลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่เราสามารถคำนวณการใช้พลังงานได้โดยใช้สูตรคำนวณได้ดังนี้<br />1.คำนวณพลังงานที่ใช้ต่อวันในภาวะร่างกายปกติ ด้วยสูตร BMR<br />ในภาวะปกติถ้าเราอยู่เฉยๆ เพียงแค่เดินไปเดินมา นั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือ ดูทีวี ร่างกายเราจะใช้พลังงานประมาณ 1600-2400 แคลอรี่ โดยขึ้นอยู่กับน้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ และโครงสร้างของร่างกาย เรียกการใช้พลังงานในภาวะปกตินี้ว่า Basal Metabolism Rate (BMR) โดยมีสูตรดังนี้<br />สำหรับผู้ชาย BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.8 x อายุ)<br />สำหรับผู้หญิงBMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.8 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.7 x อายุ)<br />ตัวอย่างเช่น ผู้หญิง อายุ 35 ปี ส่วนสูง 165 ซม. น้ำหนัก 60 กก.<br />BMR จะเท่ากับ 665 + (9.6 x 60) + (1.8 x 165) – (4.7 x 35) = 1373.5 แคลอรี่<br /><br /><br />2.คำนวณพลังงานที่ใช้เมื่อมีการทำกิจกรรมเพิ่มเติมในแต่ละวัน<br />เมื่อเราทราบพลังงานที่เราใช้ในภาวะปกติทั่วไปต่อวันจากค่า BMR แล้วหากทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน หรือกิจกรรมการออกกำลังกายเพิ่มเติม ร่างกายก็จะมีการเผาผลาญพลังงานมาใช้มากขึ้น ซึ่งเราสามารถคำนวณพลังงานที่เราใช้เมื่อมีกิจกรรมเพิ่มเติมได้จากสูตรดังต่อไปนี้<br />2.1 นั่งทำงานอยู่กับที่ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย = BMR x 1.2<br />2.2 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเล็กน้อย ประมาณอาทิตย์ละ 1-3 วัน = BMR x 1.375<br />2.3 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาปานกลาง ประมาณอาทิตย์ละ 3-5 วัน = BMR x 1.55<br />2.4 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก ประมาณอาทิตย์ละ 6-7 วัน = BMR x 1.725<br />2.5 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนักทุกวันเช้าเย็น = BMR x 1.725<br />ตัวอย่างเช่น BMR ของคุณ = 1502.9 คุณเป็นคนออกกำลังกายเล็กน้อย ก็เอา BMR x 1.375<br />นั่นคือปริมาณ แคลอรี่ที่ต้องการต่อหนึ่งวัน คือ 1502.9 x 1.375 = 2066.49 แคลอรี่f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-4030925760132104852010-01-20T11:54:00.001+07:002010-01-20T11:54:58.939+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.2 เรื่อง ทำไมเราต้องดื่มน้ำ<strong><span style="color:#00cccc;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.2 เรื่อง ทำไมเราต้องดื่มน้ำ</span></strong><br /> น้ำจัดเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อร่างกาย เพราะโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะมีน้ำอยู่ประมาณ 60 – 70 % ของน้ำหนักตัว น้ำเป็นส่วนประกอบของเลือด น้ำย่อย ฯ <br />ร่างกายของเราได้รับน้ำจากหลายๆ ทาง เช่น การดื่มน้ำโดยตรง, น้ำที่ปนมากับอาหาร, น้ำที่เกิดจากกระบวนการเมตาโบลิซึม (Metabolism) ของร่างกาย ปกติร่างกายเราจะสูญเสียน้ำประมาณ 2.5 ลิตร ทางเหงื่อ ลมหายใจ และการขับถ่าย นอกจากน้ำแล้วร่างกายยังสูญเสียเกลือแร่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อเล่นกีฬาร่างกายของเราก็จะเสียน้ำทางเหงื่อและลมหายใจมากกว่าปกติ หรือถ้าเราท้องเสียหรืออาเจียนแล้ว จะยิ่งทำให้ร่างกายของเราเสียน้ำมากมายจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้<br />หน้าที่ของน้ำในร่างกาย<br />1. น้ำ เป็นตัวนำพาสารอาหาร ไปให้เซลล์<br /> สารอาหารที่เรารับประทานเข้าไป จะสามารถทำละลายได้ เมื่อมีน้ำเป็นตัวกลาง และถูกลำเลียงด้วยน้ำโดยการดูดซึมเพื่อนำไปสร้างพลังงานให้กับเซลล์ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และน้ำอีกเช่นกันที่ทำหน้าที่ลำเลียงของเสียซึ่งถูกกำจัดออกจากร่างกาย<br />2. น้ำ เป็นตัวลำเลียงภูมิต้านทานและสารต้านอนุมูลอิสระ<br /> อาการท้องผูกส่วนมากเป็นเพราะคนขาดน้ำเรื้อรัง ถ้าเราดื่มน้ำเพิ่มและรับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ อาการท้องผูกจะหมดไป มีการวิจัยพบว่า กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ และอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จะทุเลาลง ถ้าได้ดื่มน้ำมากขึ้น น้ำจะช่วยละลายสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ใหญ่ออกมาพร้อมกับอุจจาระ มีผลทางอ้อมให้รีดสีดวงทวารทุเลาลงด้วย <br />3. น้ำ ช่วยควบคุมสมดุลของของเหลว และลดการสะสมของของเสีย ในร่างกาย<br /> การขาดการพักผ่อนจะก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าและร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุล ของของเหลวในร่างกาย นอกจากนี้ความเครียดทางจิตใจ การรับประทานยามากเกินไป การรับประทานอาหารสำเร็จรูป และการรับประทานอาหารมากเกินไป ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากยิ่งขึ้น หากไม่มีการเติมน้ำให้ร่างกายอย่างเหมาะสม ของเสียก็จะยิ่งตกค้างในร่างกายและเกิดปัญหาใหญ่ ซับซ้อนตามมาอย่างมากมายได้ การสะสมของเสียในร่างกายอย่างต่อเนื่องเป็นการเร่งให้เกิดกระบวนการแก่ชราเร็วขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้<br />4. น้ำ ช่วยในระบบการหายใจ <br /> ร่างกายต้องใช้น้ำเพื่อการหายใจ เมื่อเราหายใจเอาออกซิเจน ( O2 ) เข้าไปในปอด และ ขับถ่ายคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) ออกจากปอด ลมหายใจออกจากปอดของเราจะต้องมีน้ำเพื่อช่วยให้ความชุ่มชื้น<br />5. น้ำ ช่วยป้องกันไตวาย<br /> ไตมีหน้าที่ขับถ่ายของเสีย เช่น กรดยูริค (Uric Acid) ยูเรีย (Urea) และกรดแลคติค (Lactic Acid) ซึ่งละลายได้ในน้ำ ดังนั้น ถ้ามีน้ำผ่านไตไม่พอเพียง ของเสียเหล่านี้จะไม่ถูกขับออกมาได้หมด เป็นผลให้ไตทำงานหนักเกินไป จนกระทั่งพิการหรือไตวายได้ น้ำยังช่วยป้องกันการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วย <br />6. น้ำ ช่วยหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ<br /> ปลายกระดูกที่ต่อกันเกิดเป็นข้อต่อ เช่น ข้อต่อกระดูกไขสันหลัง ถ้ามีน้ำไม่พอเพียงข้อต่อจะขยับได้ยาก ถ้าน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อพอเพียงข้อต่อจะเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ทำให้การเสียดสีกันมีน้อยมากและอันตรายจากการถลอกตรงกระดูกอ่อน (Abrasive Damage) จะไม่เกิด ดังนั้น จึงลดความเสี่ยงของอาการปวดข้อ<br />7. น้ำ เป็นส่วนประกอบของสมองในปริมาณมากรองจากเลือด<br /> เนื้อสมองมีน้ำมากถึง 85 % การขาดน้ำจะทำให้ความสามารถทางสมองลดลง ความคิดอ่อนล้า และเกิดอาการเครียดทางจิตใจตามมา<br />8. น้ำ ให้ผลกับการลดน้ำหนัก<br /> น้ำเป็นสารอาหารที่ไม่มีแคลอรี่ จึงมีบทบาทในการลดน้ำหนัก การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดความอยากอาหารเมื่อรับประทานอาหารลดลง ทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญไขมันที่เก็บไว้แทน<br />9. น้ำ ช่วยในระบบย่อยอาหารในทุกระดับ<br /> ถ้าขาดน้ำการย่อยในทางเดินอาหารจะไม่สมบูรณ์ เพราะน้ำและเอ็นไซม์จะทำงานได้ไม่ดี ถ้าน้ำพอเพียง น้ำจะช่วยให้การแตกตัวของอาหารดีขึ้นและสามารถซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายอีกด้วย สารอาหารที่เรารับประทานเข้าไป จะสามารถทำละลายได้เมื่อมีน้ำเป็นตัวกลางและถูกลำเลียงด้วยน้ำโดยการดูดซึม เพื่อนำไปสร้างพลังงานให้กับเซลล์ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และน้ำอีกเช่นกันที่ทำหน้าที่ลำเลียงของเสียซึ่งถูกกำจัด ออกจากร่างกาย<br />10. น้ำ ช่วยในระบบภูมิต้านทาน<br /> เนื่องจากเลือดมีองค์ประกอบเป็นน้ำถึง 92 % ดังนั้นน้ำจึงช่วยนำพาภูมิต้านทาน(Antibodies) และสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ไปยังอวัยวะต่าง ๆ เพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่ถ้าน้ำมีการปนเปื้อน หรือมีคุณสมบัติเป็นกรด ภูมิต้านทานก็จะไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค สารพิษ หรือสิ่งแปลกปลอมได้ ทำให้เกิดโรค รวมทั้งความแก่ชรา ก็จะเริ่มปรากฏให้เห็นก่อนวัยอันควรได้<br />11. น้ำ ช่วยในการเผาผลาญอาหาร<br /> น้ำเป็นตัวกลางในทุกปฏิกิริยาเคมีในร่างกายและยังเป็นตัวทำละลายที่ดี จึงสามารถพาสารอาหาร ฮอร์โมน ออกซิเจน ฯลฯ ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ผ่านทางเลือดและน้ำเหลือง ถ้าขาดน้ำ การเผาผลาญอาหารเพื่อเกิดพลังงานย่อมทำไม่ได้<br /><br />12. น้ำ ช่วยสร้างสุขภาพที่ดี และชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนัง<br /> เพราะร่างกายประกอบด้วยน้ำถึง 70 % ในเซลล์มีน้ำอยู่ร้อยละ 70 และมีดีเอ็นเอ (DNA เป็นตัวกำหนดต้นแบบ ของเซลล์เกิดใหม่ โดยมีรหัสจำเพาะ) ก็มีน้ำเช่นกัน ถ้าร่างกายขาดน้ำ จะมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย เพราะปฏิกิริยาเคมีในร่างกายเสียสมดุล เกิดอาการผิดปกติ หากขาดน้ำเรื้อรัง จะทำให้ผิวหนังแห้งเหี่ยวย่น ความต้านทานโรคต่ำ แก่เร็ว<br /><a href="http://pakwan.igetweb.com/index.php?mo=3&art=157770">http://pakwan.igetweb.com/index.php?mo=3&art=157770</a><br />13. น้ำช่วยส่งกระแสกระตุ้นเซลล์ประสาท<br />พลังงานที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำในเซลล์จะช่วยส่งกระแสกระตุ้นเซลล์ประสาท ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยขนส่งสารเคมีที่ผลิตขึ้นจากสมอง ซึ่งจะนำคำสั่งไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยสารเคมีจากสมองจะถูกขนถ่ายผ่านช่องทางน้ำไปตลอดเส้นประสาท<br />14. น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย<br /> น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยขณะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูง ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติ<br />http://gotoknow.org/blog/oh-phataranan/220863<br />สาเหตุการขาดน้ำ(Dehydration)<br />สาเหตุที่สำคัญ คือ ท้องร่วง และอาเจียน จากการติดเชื้อ เช่นอหิวาตกโรค โรคบิด หรืออาหารเป็นพิษ จะมีประชากรทั่วโลกเสียชีวิตจากการขาดน้ำปีละ1.5ล้านคน กลุ่มที่เสี่ยง คือ เด็กและทารก<br />ไข้สูงเสียเหงื่อมาก<br />ออกกำลังกายมาก และอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อน ร่างกายจะเสียน้ำมากกว่าเกลือแร่ กลุ่มเสี่ยง คือ วัยรุ่นซึ่งน้ำหนักจะน้อกว่าผู้ใหญ่ และเป็นวัยที่ชอบออกกำลังกาย<br />เสียน้ำทางปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวานและเบาจืด ร่างกายจะสูญเสียน้ำไปทางปัสสาวะมากจนอาจจะเกิดไตวาย<br />ผิวหนังถูกไฟไหม้ ร่างกายจะสูญเสียน้ำทางน้ำเหลืองที่ไหลออกมาf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-28752632953455889892010-01-20T11:33:00.001+07:002010-01-20T11:53:59.199+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.1 เรื่อง สารอาหารต่างๆ<p align="justify"><strong><span style="color:#00cccc;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 6.1 เรื่อง สารอาหารต่างๆ</span></strong><br />สารอาหาร 6 หมู่<br /> สารอาหาร nutrients คือ ส่วนประกอบของอาหารที่ถูกย่อยและพร้อมให้ร่างกายดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเจริญเติบโต<br />สารอาหารมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดให้ประโยชน์ต่างๆ กัน ดังนี้<br />1. โปรตีน Protein<br />เป็นสารอาหารที่มีมากในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ นม ไข่ ถั่วชนิดต่าง ๆ ให้พลังงานแก่ร่างกาย 4 กิโลแคลอรี่ต่อโปรตีน 1 กรัม<br />ประโยชน์ของโปรตีน<br />1. ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต<br />2. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ<br />3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย<br />4. เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก<br /><br />2. คาร์โบไฮเดรต Carbohydrate<br />เป็นสารอาหารที่ได้จากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด เผือก มัน ผัก ผลไม้ที่มีรสหวาน ให้พลังงานแก่ร่างกาย 4 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 กรัม<br />ร่างกายสามารถเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตที่เหลือเป็นไขมันได้ และจะถูกสะสมในร่างกาย<br />ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรต<br />1. ช่วยเผาผลาญไขมัน ทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย<br />2. ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย<br />3. ทำให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้.<br />3. วิตามิน Vitamins<br /> เป็นสารอาหารที่ได้จากผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ตับ เครื่องในสัตว์ โดยไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย<br />วิตามิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ<br />1. วิตามินที่ละลายในน้ำ<br />2. วิตามินที่ละลายในไขมัน<br />ประโยชน์ของวิตามิน โดยรวม<br />1. ทำให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติ<br />2. ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค<br />3. ทำให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง<br /><br />4. เกลือแร่ Minerals<br /> เป็นสารอาหารที่ได้จาก ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ นม ไข่แดง อาหารทะเลทุกชนิด โดยไม่ให้พลังงานต่อร่างกาย <br />1.แคลเซียม<br />พบใน นม ไข่แดง ถั่ว ผักสีเขียว หอยนางรม กุ้งแห้ง ปลาตัวเล็ก ๆ<br />1. ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน<br />2. ช่วยในการทำงานของประสาท<br />1. ทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน<br />2. ฟันผุ<br />2.ฟอสฟอรัส<br />พบใน นม เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และผัก<br />ทำให้ทำงานร่วมกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน<br /> 3.เหล็ก<br />พบใน เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ตับ หอย มะเขือ และผักสีเขียว<br /> เป็นส่วนประกอบในฮีโมโกบิลในเม็ดเลือดแดง<br />4.ไอโอดีน<br />พบใน อาหารทะเลทุกชนิดและเกลือทะเล<br />ควบคุมการ เผาผลาญอาหารให้เกิดพลังงาน<br />5.โซเดียม<br />พบใน เกลือ น้ำปลา กะปิ นม ไข่<br />ควบคุมความสมดุลของน้ำภายใน และภายนอกเซลล์<br /> 5. ไขมัน Lipid<br /> เป็นสารอาหารที่ได้จากน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู น้ำมันปลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะพร้าว ถั่ว งา รำ ข้าวโพด เนย นม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 9 กิโลแคลอรี่ต่อ 1 กรัม<br /> ประโยชน์ของสารอาหารไขมัน<br />1. ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และพลังงานแก่ร่างกาย<br />2. เป็นตัวละลายวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค<br /><br />6. น้ำ Water<br /> เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกายซึ่งช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้เป็นไปอย่างปกติ นอกจากนี้น้ำยังช่วยละลายวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ รวมไปถึงการนำพาสารอาหารให้ไหลเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ระบบการจัดสรรปันส่วนน้ำอย่างเหมาะสมของร่างกายจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าน้ำและสารเคมีต่างๆ เช่น ฮอร์โมนและเอนไซม์ที่ถูกนำพาไปนั้นจะไปถึงอวัยวะที่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก เช่น สมอง หัวใจ ไต และปอด นอกจากนี้น้ำยังมีส่วนในการนำพาสารเคมีที่ผลิตและหลั่งออกจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแล้วปล่อยออกทางของเหลว (น้ำ) ที่อยู่รอบๆ ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และสารเคมีเหล่านี้ก็จะมีผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย<br />ร่างกายของเราจะเสียน้ำประมาณวันละ 4 ลิตร เราจึงจำเป็นต้องหาทางชดเชยน้ำที่เสียไปนี้โดยการดื่มน้ำในปริมาณเท่ากับปริมาณที่สูญเสียไปทุกวัน เพราะหากได้รับน้ำไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เราประสบภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง (Dehydration)ได้<br />http://gotoknow.org/blog/oh-phataranan/220863<br />ทริคในการจำ<br />- วิตามินที่ละลายน้ำ BC<br />- วิตามินที่ไม่ละลายน้ำ ADEK<br />- ประโยชน์ของวิตามินต่างๆ<br /> เอ ตา(บำรุงเอ)<br /> บี ชา(เหน็บชา)<br /> ซี ลัก(ลักปิดลักเปิด)<br /> ดี ดูก(กระดูก)<br /> อี ผิว(บำรุงผิว)<br /> เค เลือด(บำรุงเค)</p>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-31697550974988246102009-12-19T14:28:00.000+07:002009-12-19T14:33:02.587+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.1 เรื่อง การจำแนกสัตว์<span style="font-size:180%;color:#cc33cc;"><strong>ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.1 เรื่อง การจำแนกสัตว์<br /></strong></span><br /> สัตว์ต่างๆ ในโลกนี้มีธรรมชาติและรูปแบบการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันมากมาย เช่น<br />- ขนาด สัตว์บางชนิดมีขนาดใหญ่ เช่น วาฬ ช้าง สิงโต เป็นต้น สัตว์บางชนิดมีขนาดเล็กมาก เช่น หมัด มด ยูง เป็นต้น<br />- รูปร่างลักษณะ สัตว์บางชนิดมี 4 ขา เช่น ช้าง ม้า วัว เป็นต้น บางชนิดมี 2 ขา เช่น นก เป็ด ไก่ เป็นต้น บางชนิดไม่มีขา เช่น งู ไส้เดือน เป็นต้น บางชนิดมีขามากมาย เช่น กิ้งกือ ตะขาบ เป็นต้น<br />- แหล่งที่อยู่อาศัย สัตว์บางชนิดอาศัยบนบก บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ บางชนิดอาศัยอยู่บนต้นไม้<br />- การเจริญเติบโต สัตว์บางชนิด มีการเจริญเติบโตแตกต่างกัน สัตว์บางชนิดเจริญเติบโตโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะ เพียงแต่ตัวจะโตขึ้นเท่านั้น เช่น แมว ม้า ช้าง เป็นต้น แต่สัตว์บางชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะในระหว่างที่มันเจริญเติบโต เช่น ยุง ผีเสื้อ กบ เป็นต้น<br /><br />ในการจำแนกสัตว์นั้น นักวิทยาศาสตร์จึงได้จำแนกสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันไว้ด้วยกัน โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น อุณหภูมิร่างกาย การหายใจ การสืบพันธุ์ และกระดูกสันหลัง เป็นต้น ในการจำแนกสัตว์มีความคล้ายคลึงกับการจำแนกพืช คือ มีเกณฑ์หลายเกณฑ์ที่ใช้ โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกสัตว์มีดังเช่น<br /><br />1.เกณฑ์ที่ใช้กระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์จะสัตว์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />1.1. สัตว์มีกระดูกสันหลัง ถ้าแบ่งตามอุณหภูมิร่างกายได้ 2 กลุ่ม คือ<br />- สัตว์เลือดเย็น เช่น จำพวกปลา (ปลาต่าง ๆ) จำพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (กบ)<br />และจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน (เต่า)<br />- สัตว์เลือดอุ่น เช่น จำพวกสัตว์ปีก (นก) และจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (สุนัข<br />ช้าง คน)<br />1.2. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ถ้าแบ่งตามลักษณะเด่นได้ 3 กลุ่มคือ<br />- พวกลำตัวเป็นโพรง เช่น จำพวกลำตัวพรุน (ฟองน้ำหินปูน) และจำพวกลำตัว มีโพรง (แมงกะพรุน)<br /><br /><br /><br />- พวกลำตัวคล้ายหนอน เช่น จำพวกหนอนตัวแบน (พยาธิตัวตืด) จำพวกหนอน ตัวกลม (พยาธิไส้เดือน) และจำพวกหนอนปล้อง (ไส้เดือนดิน)<br /><br /><br /><br /><br />- พวกมีเปลือกแข็งหุ้มภายนอก เช่น จำพวกมีขาเป็นข้อ (ผีเสื้อ) จำพวกลำตัวนิ่ม(หอย) และจำพวกสัตว์ทะเลผิวขรุขระ (ดาวทะเล)<br /><br /><br /><br /><br />2.เกณฑ์ที่ใช้ลักษณะสำคัญเป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ<br />2.1 สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว หนู โลมา วาฬ เป็นต้น<br />ลักษณะสำคัญ สัตว์ชนิดนี้มีต่อมน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อนของมัน ร่างกายปกคลุมด้วยขนแบบเส้น หายใจด้วยปอด<br />แหล่งที่อยู่อาศัย สัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่บนบก แต่บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำและมีรูปร่างคล้ายปลา เช่น วาฬ โลมา พะยูน<br /> อาหาร สัตว์ประเภทนี้มีทั้งชนิดที่กินพืชและสัตว์เป็นอาหาร<br />2.2 สัตว์เลื้อยคลาน เช่น จระเข้ งู เต่า จิ้งจก เป็นต้น<br />ลักษณะสำคัญ สัตว์ชนิดนี้ร่างกายมีผิวหนังที่เป็นเกล็ดแข็งแห้งปกคลุม หรือมีกระดองแข็งหุ้มทั้งตัว หายใจด้วยปอด<br /> แหล่งที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนบก บางชนิดอาศัยในน้ำ แต่สามารถคลานมาอยู่บนบกได้<br /> อาหาร ได้แก่ แมลง หรือสัตว์ขนาดเล็ก<br />2.3 ปลา เป็นสัตว์น้ำ อาศัยทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม<br />ลักษณะสำคัญ ปลามีรูปร่างเรียวยาวลำตัวค่อยข้างแบน ผิวหนังมีเกล็ดและมีเมือกลื่น ๆ ปกคลุม มีครีบ ใช้ในการว่ายน้ำและทรงตัว หายใจด้วยเหงือก<br /> แหล่งที่อยู่อาศัย อาศัยในน้ำจืดและน้ำเค็ม<br /> อาหาร ได้แก่ พืชน้ำ และสัตว์ที่มีขนาดเล็ก เช่น ลูกน้ำ ไรแดง ลูกกุ้ง ลูกปลา แมลง<br />2.4 สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก เช่น กบ อึ่งอ่าง คางคก ปาด เขียด<br />ลักษณะสำคัญ เป็นสัตว์สี่เท้า ลำตัวปกคลุมด้วยผิวหนังอ่อนนุ่มและเปียกชื้นตลอดเวลา ตัวอ่อนของสัตว์ชนิดนี้หายใจโดยใช้เหงือก ส่วนตัวเต็มวัยหายใจโดยใช้ปอด<br />แหล่งที่อยู่อาศัย เมื่อตัวอ่อน (ลูกอ๊อด) ออกจากไข่จะอาศัยอยู่ในน้ำ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จึงขึ้นมาอาศัยอยู่บนบก<br />อาหาร ลูกอ๊อดกินพืชน้ำเป็นอาหารและสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็ก ตัวเต็มวัยกินแมลงและหนอน<br />2.5 สัตว์ปีก เช่น นก ไก่ เป็ด เป็นต้น<br />ลักษณะสำคัญ เป็นสัตว์สองเท้า และมีปีก 1 คู่ ร่างกายปกคลุมด้วยขนที่มีก้าน กระดูกทั่วร่างกายเป็นโพรงทำให้ตัวเบา หายใจด้วยปอด<br /> แหล่งที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่อาศัยบนบก<br /> อาหาร ได้แก่ เมล็ดข้าวชนิดต่าง ๆ ผลไม้ แมลง หนอน บางชนิดกินปลา หอย ปูf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-45928191830144658042009-12-19T14:27:00.000+07:002009-12-19T14:28:35.993+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.5 เรื่อง ประโยชน์ของสัตว์<span style="color:#cc33cc;"><span style="font-size:180%;"><strong>ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.5 เรื่อง ประโยชน์ของสัตว์</strong><br /></span></span>สัตว์มีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมายหลายด้าน โดยส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์ทางอ้อมมากกว่าทางตรง จึงเป็นสาเหตุให้เราให้ความสำคัญกับสัตว์ต่างๆ ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เราจึงควรศึกษาในเรื่องประโยชน์ของสัตว์ เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงประโยชน์ของสัตว์ต่างๆ ดังนี้<br /><br />ประโยชน์ของสัตว์ ด้านต่างๆ เช่น<br />1.ด้านการเกษตร <br />~ ใช้แรงงานจากสัตว์ในการทำการเกษตร เช่น วัวควายใช้ไถนา ช้างใช้ลากซุง ลิงเก็บมะพร้าว<br />~ ใช้เป็นพาหนะ เช่น วัว ควาย ใช้เทียมเกวียนบรรทุกของ ช้างม้าใช้ขี่<br />~ ช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ ทำให้เกิดเป็นผลใช้รับประทานและช่วยแพร่พันธุ์พืช เช่นผีเสื้อ ผึ้ง มิ้ม ต่อ แตน<br />~ ช่วยในการกำจัดศัตรูพืช เช่น กบช่วยกำจัดแมลง<br />~ ใช้ทำปุ๋ย เช่น ปุ๋ยคอกมาจากมูลของสัตว์ซึ่งจัดเป็นปุ๋ยธรรมชาติช่วยบำรุงดิน ทำให้ต้นไม้เจริญงอกงาม<br />2.ด้านการแพทย์ <br />~ ใช้ในการศึกษาวิจัย โครงสร้างระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายสิ่งมีชีวิต<br />~ ใช้ผลิตวัคซีน เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค เช่น ม้า งู<br />~ ใช้เป็นสัตว์ทดลอง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อได้รับวัคซีน เซรุ่ม<br />~ กำจัดสัตว์นำโรค<br />3.ด้านการบริโภคและอุปโภค<br />~ ใช้เป็นอาหารเช่น หมู วัว ควาย เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง หอย<br />~ ใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม เช่น หนังของสัตว์บางชนิด เราสามารถนำมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มหรือ เครื่องใช้ เช่น กระเป๋า เข็มขัด ถุงมือ รองเท้า<br />~ ใช้ทำเครื่องใช้ โดยเอาส่วนต่าง ๆ ของสัตว์มาทำ เช่น เขาควาย ใช้ทำด้ามมีด<br /><br /><br /><br /><br /><br />4.ด้านเศรษฐกิจ<br />~ การนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ของสัตว์มาซื้อขายกัน เช่น หนังจระเข้ หนังงู<br />~ การจำหน่ายสัตว์ที่น่ารักและมีความสวยงาม เช่น สุนัข แมว นกต่าง ๆ รายได้<br />~ การเปิดบริการเข้าชมสัตว์ป่า ณ สถานที่ต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นสวนสัตว์ปิด/เปิด<br />5.ด้านความปลอดภัย เช่น เฝ้าบ้าน ตรวจจับยาเสพติด ตรวจวัตถุระเบิด<br />6.ช่วยในชีวิตประจำวัน เช่น พยากรณ์อากาศ เพลิดเพลิน คลายเครียด ช่วยล่าสัตว์<br />7.ช่วยให้ดำรงห่วงโซ่อาหารไว้ได้<br /><br /><br /><a href="http://www.environnet.in.th/evdb/info/wildlife/wildlife5.html">http://www.environnet.in.th/evdb/info/wildlife/wildlife5.html</a><br /><a href="http://blog.hunsa.com/vicky6208/blog/2918">http://blog.hunsa.com/vicky6208/blog/2918</a>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-53187378437085575182009-12-19T14:25:00.000+07:002009-12-19T14:27:17.430+07:00ใบความรู้กิจกรรมที่ 5.4 เรื่อง วัฏจักรชีวิตของสัตว์ใบความรู้กิจกรรมที่ 5.4 เรื่อง วัฏจักรชีวิตของสัตว์ <br /><br />ในการเจริญเติบโตของสัตว์ เราจะเห็นว่าบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างชัดเจน และบางชนิดเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ขนาด เราเรียกการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของสัตว์ในระหว่างการเจริญเติบโตนี้ว่า metamorphosis เมตามอร์โฟซิส สัตว์บางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจนดูเหมือนเป็นสัตว์ต่างชนิดกัน เช่น แมลงปอ กบ เป็นต้น<br />การเปลี่ยนแปลงรูปร่างในระหว่างการเจริญเติบโตนี้ มีหลายรูปแบบ เช่น <br />1.การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis) <br />2.การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ์ (Incomplete metamorphosis) <br /><br />วัฏจักรชีวิตยุง<br />ยุงเป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ยุงมีวงจรชีวิตแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis) ซึ่งประกอบด้วย ไข่ (egg) ลูกน้ำ (larva; พหูพจน์ =larvae) ตัวโม่ง (pupa; พหูพจน์ =pupae) และยุงตัวแก่ (adult) ยุงเมื่อลอกคราบออกจากระยะตัวโม่งได้ไม่กี่นาทีก็สามารถออกบินได้เลย อาหารที่ใช้ในระยะนี้ของทั้งตัวผู้และตัวเมียเป็นน้ำหวานจากดอกไม้หรือต้นไม้ การผสมพันธุ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในอากาศ ยุงตัวเมียส่วนใหญ่ผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียวโดยที่เชื้ออสุจิจากตัวผู้จะถูกกักเก็บในถุงเก็บน้ำเชื้อ ซึ่งสามารถใช้ไปได้ตลอดชีวิตของมัน ส่วนยุงตัวผู้สามารถผสมพันธุ์ได้หลายครั้ง เมื่อไข่สุกเต็มที่ยุงตัวเมียจะหาแหล่งน้ำที่เหมาะสมในการวางไข่ หลังจากวางไข่แล้วยุงตัวเมียก็ออกดูดเลือดใหม่และวางไข่ได้อีก บางชนิดที่มีอายุยืนมากอาจไข่ได้ร่วม 10 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันประมาณ 4-5 วัน ยุงตัวเมียวางไข่ประมาณ 30-300 ฟองต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของยุงและปริมาณเลือดที่กินเข้าไป<br />วัฏจักรชีวิตแมลงสาบ<br />แมลงสาบมีการเจริญเติบโตเป็นแบบไม่สมบูรณ์ (Incomplete metamorphosis) ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและขนาด วงจรชีวิต (life cycle) ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ ไข่ (egg), ตัวอ่อนหรือตัวกลางวัย (nymph), และตัวเต็มวัย (adult) ตัวอ่อนจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยมาก ต่างกันที่ขนาด ปีก และอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น แมลงสาบวางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละหลายฟอง และจะเชื่อมติดกันเป็นกลุ่มด้วยสารเหนียวมีลักษณะเป็นแคปซูล จำนวนไข่ในแต่ละกระเปาะจะแตกต่างกันตามแต่ชนิดของแมลงสาบด้วย โดยทั่วไปจะมีประมาณ 16/18 ฟอง แต่อาจจะวางได้หลายชุด บางชนิดอาจจะวางเพียง 4-6 ชุด แต่บางชนิดอาจวางมากถึง 90 ชุด ก็ได้f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-27402397713533334892009-12-19T14:24:00.000+07:002009-12-19T14:25:54.406+07:00ใบความรู้ กิจกรรม 5.3 เรื่อง ปัจจัยจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสัตว์ใบความรู้ กิจกรรม 5.3 เรื่อง ปัจจัยจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสัตว์ <br /><br />ปัจจัยจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสัตว์ มีดังนี้<br /><br />1.อาหาร <br />สัตว์ต้องกินอาหาร เพื่อจะได้มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ สัตว์แต่ละชนิดกินอาหารที่แตกต่างกันไป บางชนิดกินพืชเป็นอาหาร บางชนิดกินสัตว์เป็นอาหาร และบางชนิดกินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร<br />อาหาร (Food) หมายถึง ของกินหรือเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ในทางอาหารสัตว์จะใช้คำว่า Feed ซึ่งจะหมายถึง สารหรือสิ่งของที่ภายหลังสัตว์กินเข้าไปแล้วสามารถถูกย่อย (Digested) ถูกดูดซึม (Absorbed) แล้วจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ (Utilized) ต่อร่างกายของสัตว์ได้ โดยส่วนของอาหารที่ถูกย่อยได้และถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้จะเรียกว่าโภชนะหรือสารอาหาร (Nutrients) (<a href="http://km.kasettrang.ac.th/Nut-l1.doc">http://km.kasettrang.ac.th/Nut-l1.doc</a>)<br /><br /><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.technoinhome.com/vspcite/site/wb03/jpg/002/wb0300295014fba7.jpg&imgrefurl=http://www.technoinhome.com/vspcite/front/board/show.php%3Fpage_id%3D2%26tbl%3Dtblwb03%26gid%3D20%26page_size%3D10%26stext%3D%26id%3D295%26PHPSESSID%3D7f83492ef24e66a4013dbec389d2b13e&usg=__iMupEhyUzcN5IgYLiHTGA50wXZE=&h=225&w=300&sz=13&hl=th&start=2&um=1&tbnid=EnoHGUtUG49EuM:&tbnh=87&tbnw=116&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%26um%3D1%26hl%3Dth"></a> <a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www4.pantown.com/data/5495/board23/125-20060130011909.jpg&imgrefurl=http://www.pantown.com/board.php%3Fid%3D5495%26name%3Dboard23%26topic%3D125%26action%3Dview&usg=__7chjeMfkHtKhXjAG48Ah_VwXa_g=&h=460&w=557&sz=55&hl=th&start=7&um=1&tbnid=UGp0dg0yeytTBM:&tbnh=110&tbnw=133&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B7%26um%3D1%26hl%3Dth"></a><br />2.น้ำ <br />สัตว์ต้องกินน้ำเพื่อให้ร่างกายสดชื่น ช่วยดับกระหาย สัตว์บางชนิดใช้น้ำทำความสะอาดร่างกาย หรือสัตว์บางชนิดอาศัยในน้ำ โดยสรุป สำหรับสัตว์แล้ว น้ำมีประโยชน์ ดังต่อไปนี้<br />- เซลล์ในร่างกาย ต้องการน้ำไปเพื่อไปทำให้โครงสร้างของเซลล์คงรูปอยู่ได้และสามารถทำงานได้อย่างปกติ<br />- น้ำเป็นตัวนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่าง ๆ และในเวลาเดียวกันน้ำก็เป็นตัวนำของเสียออกมาจากกล้ามเนื้อนั้น ๆ ด้วย และขับถ่ายออกมาจากร่างกายในรูปของเหงื่อและปัสสาวะ เป็นต้น<br />- น้ำช่วยในการเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ ช่วยหล่อไขข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้โลหิตไหลวนเวียนทั่วร่างกาย<br />- ช่วยรักษาและควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ หากร้อนเกินไปก็จะระบายความร้อนออกมาในรูปของเหงื่อ เป็นต้น<br /><br />3.อากาศ <br />อากาศเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เนื่องจากสัตว์ทุกชนิดต้องใช้ก๊าซออกซิเจนในกระบวนการหายใจ และเพื่อเผาไหม้สารอาหารให้เป็นพลังงาน<br /><br />4.ที่อยู่อาศัย <br />สัตว์แต่ละชนิดจะมีแหล่งที่อยู่ไว้นอน หากิน หลบภัยและดำรงชีวิตด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป สัตว์บางชนิดอาศัยบนบก บางชนิดอาศัยบนต้นไม้ บางชนิดอาศัยในน้ำf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-60303421518346190302009-12-19T14:21:00.000+07:002009-12-19T14:24:52.107+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.2 เรื่อง พฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์<strong><span style="font-size:180%;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 5.2 เรื่อง พฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์</span></strong> <br /><br />พฤติกรรม หมายถึง การกระทำต่างๆ ของสัตว์ที่แสดงออกมา ท่าทางหรือปฏิกิริยาของสัตว์ที่แสดงออกมาเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้า ( สิ่งแวดล้อม ) ทั้งภายนอก และภายในร่างกายของสัตว์ เช่น การส่งเสียงร้อง การป้องกันอาณาเขต การล่าเหยื่อ เป็นต้น<br />สิ่งเร้าภายนอก ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง เสียง กลิ่น อาหาร ศัตรู เหยื่อ การเคลื่อนไหว รูปร่างของวัตถุ<br />สิ่งเร้าภายใน ได้แก่ อารมณ์ ความเครียด ฮอร์โมน<br />พฤติกรรมที่สัตว์แสดงออกมานั้นส่วนใหญ่จะกระทำไปเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิต และเพื่อความอยู่รอด ซึ่งพฤติกรรมบางอย่างก็เป็นพฤติกรรมที่มีมาตั้งแต่กำเนิด สามารถแสดงการตอบสนองได้เองโดยไม่ต้องฝึกฝน และบางอย่างก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ภายหลัง<br /><br />พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกเพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ ตัวอย่างเช่น<br />พฤติกรรมการหาอาหารและการล่าเหยื่อเพื่อหาอาหาร<br />พฤติกรรมการอพยพย้ายถิ่น เพื่อหาแหล่งที่อยู่ที่มีอากาศอบอุ่นกว่า หรือมีอาหารอุดมสมบูรณ์มากกว่า<br />พฤติกรรมการต่อสู้ เพื่อแก่งแย่งอาณาเขต แย่งอาหาร หรือแย่งเพศตรงข้าม<br />พฤติกรรมการขู่ โดยการแสดงท่าทาง หรือปรับเปลี่ยนรูปร่างและสีสันให้ดูน่ากลัว เพื่อเตือนภัยไม่ให้ศัตรูเข้าใกล้<br />พฤติกรรมการเกี้ยวพาราสี เพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาผสมพันธุ์ด้วย <br />(http://school.obec.go.th/wattammaram/web6/biae.html)<br />ในการจัดประเภทของสัตว์ เราสามารถใช้พฤติกรรมของสัตว์เป็นเกณฑ์ในการแบ่งสัตว์ออกเป็นประเภทต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น<br />1.พฤติกรรมการกินอาหารของสัตว์ <br />พฤติกรรมด้านนี้สามารถแบ่งสัตว์ได้เป็น 3 ประเภท คือ<br />1.สัตว์กินพืชอย่างเดียว เช่น วัว กวาง กระต่าย เป็นต้น<br /> <br /> <br />2.สัตว์กินสัตว์อย่างเดียว เช่น เสือ สิงโต งู เป็นต้น<br /><br /> <a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/data/imagefiles/R663-9.jpg&imgrefurl=http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php%3FNo%3D663&h=300&w=400&sz=17&hl=th&start=3&tbnid=vctKDiqU9PMooM:&tbnh=93&tbnw=124&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%26gbv%3D2%26svnum%3D10%26hl%3Dth"></a> <a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/10/Lion_waiting_in_Nambia.jpg/800px-Lion_waiting_in_Nambia.jpg&imgrefurl=http://commons.wikimedia.org/wiki/Image:Lion_waiting_in_Nambia.jpg&h=600&w=800&sz=128&hl=th&start=3&tbnid=qVn8i8Ri5dR1ZM:&tbnh=107&tbnw=143&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595%26gbv%3D2%26svnum%3D10%26hl%3Dth"> </a><br />3.สัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ เช่น หมู คน สุนัข นก เป็นต้น<br /> <br /><br />2.พฤติกรรมการออกลูก <br />พฤติกรรมด้านนี้สามารถแบ่งสัตว์ได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />1.สัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว โดยที่ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอยู่ในท้องก่อน เมื่อแข็งแรงขึ้นแล้วจึงคลอดออกมา เช่น ม้า วัว แมว เป็นต้น<br />2.สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ จะคลอดออกมาเป็นไข่มีเปลือกหุ้ม เมื่อได้ระยะหนึ่งจะฟักตัวออกมา เช่น ไก่ เป็ด จระเข้ เป็นต้น<br /><br />3.พฤติกรรมการออกหากิน <br />พฤติกรรมด้านนี้สามารถแบ่งสัตว์ได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />1.สัตว์ที่หากินกลางวัน เช่น ม้า วัว ลิง เป็นต้น<br />2.สัตว์ที่หากินกลางคืน เช่น ค้างคาว แมงป่อง งู ตะขาบ นางอาย เป็นต้นf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-90052298411127464022009-12-19T14:19:00.001+07:002009-12-19T14:19:57.675+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.4 เรื่อง ต้นไม้มีใบไว้ทำไม<span style="font-size:180%;color:#cc33cc;"><strong>ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.4 เรื่อง ต้นไม้มีใบไว้ทำไม<br /></strong></span>ใบของพืช<br />บางครั้งเราสามารถระบุชนิดของพืชได้เพียงดูจากลักษณะของใบ ใบของพืชจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช ทั้งขนาด รูปทรง สี ความมันวาว และพื้นผิวสัมผัสของใบ <br />ใบของพืชนั้นมีประโยชน์มากมาย รู้ไหมว่าเราสามารถนำใบพืชไปทำอาหารได้ ห่ออาหาร หรือไว้ทำเครื่องดื่มก็ได้<br />ส่วนประกอบของใบหลักๆ มี 5 ส่วน ดังนี้<br />1. ปลายใบ<br />2. เส้นกลางใบ<br />3. เส้นใบ <br />เส้นใบของพืช มี 2 ลักษณะ คือ<br />1. เส้นใบแบบขนาน เส้นใบจะเรียงขนานไปตามความยาวของใบ หรือจากโคนใบไปยังปลายใบ เส้นใบแบบขนานจะพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ไผ่ กล้วย มะพร้าว ฯลฯ โดยพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีลักษณะสำคัญดังนี้<br /><br />· มีใบเลี้ยงใบเดียว<br />· เส้นของใบจะเป็นแบบขนาน<br />· มีรากฝอยยึดลำต้น<br />· มีลำต้นเป็นข้อ และปล้องมองเห็นชัดเจน<br />· จำนวนกลีบดอกทั้ง 3 กลีบ หรือทวีคูณของ 3<br /><br /><br /><br /><br />2. เส้นใบแบบร่างแห เส้นใบจะแยกจากเส้นกลางใบคล้ายก้างปลา และจะมีเส้นใบเล็ก ๆ เชื่อมต่อกันเป็นร่างแห เส้นแบบร่างแหพบในพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น ยางพารา ขนุน ชบา ฯลฯ พืชใบเลี้ยงคู่ มีลักษณะดังนี้<br />· มีใบเลี้ยงสองใบ<br />· มีเส้นใบจะเป็นแบบร่างแห<br />· ที่รากจะมีรากแก้วและรากแขนงยึดลำต้น<br />· ไม่สามารถมองเห็นข้อและปล้องได้ชัดเจน <br />· จำนวนกลีบดอกมี 4 – 5 กลีบ หรือทวีคูณของ 4 –5 ……….<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />4. ก้านใบ<br />5. จมูกใบ<br />ประเภทของใบ<br />ใบจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ<br />1.ใบเดี่ยว <br /> จะประกอบด้วยใบเพียงใบเดียว เช่น มะม่วง บัว กล้วย ส้ม เป็นต้น<br /><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.uru.ac.th/~botany/images/7-53000-001-0273(1).jpg&imgrefurl=http://www.uru.ac.th/~botany/detail.php%3Fbotany_id%3D7-53000-001-0273%26field%3D%26value%3D%26page%3D28&h=339&w=563&sz=17&hl=th&start=54&usg=__s_-1XM-c69Thq1Ox3QVdSRtrpek=&tbnid=Swx5eHqIbocneM:&tbnh=80&tbnw=133&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%26start%3D40%26gbv%3D2%26ndsp%3D20%26hl%3Dth%26sa%3DN"></a> <a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.uru.ac.th/~botany/images/7-53000-001-0161(1).jpg&imgrefurl=http://www.uru.ac.th/~botany/data.php%3Ffield%3D%26value%3D%26page%3D17&h=729&w=713&sz=71&hl=th&start=11&usg=__JkZJL7LCTiHJywZrB4lM1kb7HZ4=&tbnid=OJOTP2vvuCZ5ZM:&tbnh=141&tbnw=138&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2587%26gbv%3D2%26hl%3Dth"> </a><br /> บัว มะม่วง <br />2.ใบประกอบ<br /> จะประกอบด้วยใบขนาดเล็กมาประกอบกัน เรียกว่า ใบอ่อน ซึ่งจะงอกออกมาจากก้านใบเดียวกัน เช่น ไมยราบ มะขาม โมก มะพร้าว เป็นต้น<br /><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.pibul.ac.th/wordpress/wp-content/uploads/2007/08/331.JPG&imgrefurl=http://www.pibul.ac.th/wordpress/%3Fs%3D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259B&h=431&w=298&sz=19&hl=th&start=2&usg=__Usju21HF6l41c8LJMMfvqzmxfPo=&tbnid=mkqqoPmN77Yn0M:&tbnh=126&tbnw=87&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%26gbv%3D2%26hl%3Dth"></a> <a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.bloggang.com/data/kawaka/picture/1191888871.jpg&imgrefurl=http://www.bloggang.com/viewdiary.php%3Fid%3Dkawaka%26month%3D10-2007%26date%3D09%26group%3D46%26gblog%3D19&h=600&w=460&sz=92&hl=th&start=38&usg=__K1rLoSR4Qc4PWGuE-CrMcSJ2PoA=&tbnid=QtPhB-fIphHjDM:&tbnh=135&tbnw=104&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2587%26start%3D20%26gbv%3D2%26ndsp%3D20%26hl%3Dth%26sa%3DN"></a><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.rspg.thaigov.net/plants_data/pic/crops/pakwan.jpg&imgrefurl=http://www.rspg.thaigov.net/plants_data/use/crop_5.htm&h=150&w=150&sz=10&hl=th&start=9&usg=__LoisWc_7DiOlbftW8mKXSlpICq4=&tbnid=avK1kpNtDixDIM:&tbnh=96&tbnw=96&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%26gbv%3D2%26hl%3Dth"></a><br /> มะพร้าว เฟิร์น ผักแว่น<br /><br />หน้าที่ของใบ<br />1. สังเคราะห์แสง โดยในใบจะมีสารสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรฟิลล์ เมื่อใบได้รับแสงแดด ปากใบรับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศเข้ามา และอาศัยน้ำที่รากดูดขึ้นมาเพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเกิดเฉพาะเวลากลางวัน และเกิดที่ใบเป็นส่วนใหญ่ ผลที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง คือ แป้งและออกซิเจน<br />2. หายใจ พืชจำเป็นต้องมีการหายใจตลอดเวลาเช่นเดียวกับสัตว์ ในเวลากลางวัน พืชจะหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา เมื่อเราเข้าไปในป่า หรือนั่งใต้ต้นไม้ในเวลากลางวันจึงรู้สึกสดชื่น เนื่องจากได้รับอากาศบริสุทธิ์จากต้นไม้<br />3. คายน้ำ การคายน้ำเป็นการปรับอุณหภูมิภายในต้นพืชไม่ให้สูงมาก ในวันที่มีอากาศร้อนพืชจะคายน้ำมากกว่าวันที่อากาศปกติ<br />4. สะสมอาหาร พืชจะสะสมอาหารในรูปของแป้ง เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามขาดแคลน เช่น กะหล่ำปลี ต้นหางจระเข้ เป็นต้น<br />5. ใช้ในการขยายพันธุ์ เช่น ต้นคว่ำตายหงายเป็น กุหลาบหิน เป็นต้น<br />6. ใช้ในการป้องกันอันตรายโดยเปลี่ยนเป็นหนาม เช่น กระบองเพชร เป็นต้น<br />7. ใช้ในการยึดลำต้นโดยเปลี่ยนเป็นหนวด ใช้ยึดติดกับสิ่งอื่น เช่น ตำลึง เป็นต้นf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-23426345262669834192009-12-19T14:12:00.002+07:002009-12-19T14:14:04.291+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.6<span style="font-size:180%;color:#993399;"><strong>ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.6<br />เรื่อง ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช<br /></strong></span>เราจะพบเห็นพืชในแทบทุกพื้นที่ของโลก ไม่เว้นแม้แต่ตามทะเลทรายซึ่งมีความแห้งแล้งมากก็ยังมีพืชเจริญเติบโตอยู่หรือแม้ตามมหาสมุทรต่างๆ ก็ตาม<br />พืชที่เจริญเติบโตบนพื้นดิน เราเรียกพืชกลุ่มนี้ว่า พืชบก ซึ่งเราจะพบเห็นได้ทั่วไป ส่วนพืชอีกกลุ่มหนึ่งที่เจริญเติบโตในน้ำ เราเรียกว่า พืชน้ำ โดยพืชน้ำยังแบ่งออกเป็น พืชใต้น้ำ พืชที่อยู่บนผิวน้ำ พืชที่ลอยอยู่ใต้ผิวน้ำ แต่ทั้งหมดต้องยังคงมีส่วนหนึ่งส่วนใดอยู่ในน้ำ เราจึงจะเรียกว่าพืชน้ำ<br />พืชนั้นมีความหลากหลายของพันธุ์แปลกๆ อย่างที่เราคิดไม่ถึงมากมาย อย่างที่เราเคยได้ยินว่าพืชบางชนิดกินแมลงเป็นอาหาร หรือบางชนิดมีพิษ นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพืชที่พบและอธิบายพันธุ์พืชได้มากกว่า 350,000 สายพันธุ์ แต่ก็ยังคงมีอีกจำนวนมากที่เรายังไม่ได้ทำการศึกษาหรือค้นพบ<br /><br />ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช<br />น้ำ พืชใช้น้ำในการปรุงอาหาร ละลายธาตุอาหารต่างๆ ในดิน ซึ่งเป็นอาหารของพืช นอกจากนี้น้ำยังให้ธาตุออกซิเจนและไฮโดรเจนแก่พืชด้วย<br />แสงแดด ช่วยในการสร้างอาหารของพืชหรือสังเคราะห์แสง อาหารที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง คือ น้ำตาล(พืชจะเก็บในรูปของแป้ง) และก๊าซออกซิเจน<br />อากาศ พืชจะหายใจทั้งเวลากลางวันและกลางคืน การหายใจในเวลากลางคืนของพืชนั้น พืชต้องการใช้ก๊าซออกซิเจน ส่วนการหายใจและการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชในเวลากลางวันนั้น พืชต้องการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์<br />แร่ธาตุอาหาร พืชต้องการแร่ธาตุอาหาร แต่อาหารของพืชไม่เหมือนกัน แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในดิน เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปรตัสเซียม และแร่ธาตุอาหารอื่น ๆ ซึ่งพืชจะใช้รากดูดแร่ธาตุอาหารเหล่านี้จากดินไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของพืช ธาตุอาหารได้มาหลายทาง ที่สำคัญ คือ ได้มาจากปุ๋ยหรือฮิวมัสในดิน<br />แร่ธาตุอาหารที่สำคัญ ได้แก่<br /> ไนโตรเจน ( N )<br />พืชโดยทั่วไปมีความต้องการธาตุไนโตรเจนเป็นจำนวนมาก เป็นธาตุอาหารที่สำคัญมากในการส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของพืช พืชที่ได้รับไนโตรเจนอย่างเพียงพอ ใบจะมีสีเขียวสด มีความแข็งแรง โตเร็ว และทำให้พืชออกดอกและผลที่สมบูรณ์<br />พืชเมื่อขาดไนโตรเจนจะแคระแกร็น โตช้า ใบเหลือง โดยเฉพาะใบล่าง ๆ จะแห้ง ร่วงหล่นเร็วทำให้แลดูต้นโกร๋น การออกดอกออกผลจะช้า<br /> ฟอสฟอรัส ( P )<br />พืชเมื่อขาดฟอสฟอรัสจะมีต้นแคระแกร็น ใบมีสีเขียวคล้ำ ใบล่าง ๆ จะมีสีม่วงตามบริเวณขอบใบ รากของพืชชะงักการเจริญเติบโต พืชไม่ออกดอกและผล พืชที่ได้รับฟอสฟอรัสอย่างเพียงพอจะมีระบบรากที่แข็งแรงแพร่กระจายอยู่ในดินอย่างกว้างขวาง สามารถดึงดูดน้ำและธาตุอาหารได้ดี การออกดอกออกผลจะเร็วขึ้น<br /> โพแทสเซียม ( K )<br />ธาตุโพแทสเซียมมีความสำคัญในการสร้างและการเคลื่อนย้ายอาหารพวกแป้งและน้ำตาลไปเลี้ยงส่วนที่กำลังเติบโต และส่งไปเก็บไว้เป็นเสบียงที่หัวหรือที่ลำต้น ดังนั้นพืชพวกอ้อย มะพร้าว และมัน จึงต้องการโพแทสเซียมสูงมาก ถ้าขาดโพแทสเซียมหัวจะลีบ มะพร้าวไม่มัน และอ้อยก็ไม่ค่อยมีน้ำตาล พืชที่ขาดโพแทสเซียมมักเหี่ยวง่าย แคระแกร็น ใบล่างเหลืองและเกิดเป็นรอยไหม้ตามขอบใบ<br /><br /><br />ที่มา : สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มที่ 18<br />http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subsoil/potas.htmf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-89965228328491293842009-12-19T14:12:00.001+07:002009-12-19T14:12:43.524+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.8 เรื่อง การตอบสนองของพืชต่อสิ่งเร้า<span style="font-size:180%;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.8 เรื่อง การตอบสนองของพืชต่อสิ่งเร้า<br /></span> สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ได้รับในรูปแบบต่างๆ กัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความอยู่รอดในการดำรงชีวิต พืชจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีชนิดหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่าพืชจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่พืชมีการตอบสนองในหลายๆ รูปแบบเช่นกัน เช่น การหุบใบ การเปลี่ยนสี เป็นต้น<br />สิ่งเร้า หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกของสิ่งมีชีวิต เช่น แสง การสัมผัส ความชื้น ฮอร์โมน<br />การตอบสนองต่อสิ่งเร้า หมายถึง การแสดงออกของสิ่งมีชีวิตที่สนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสิ่งเร้า<br />รูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืชแบบต่างๆ เช่น<br />การเบนเข้าหาหรือการหนีแสง พืชจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นแสง โดยส่วนของยอดลำต้นจะเจริญเข้าหาแสงสว่าง เช่น บริเวณป่าไม้ที่มีต้นไม้หน้าแน่น พืชจะมีลักษณะลำต้นสูงเพื่อแข่งขันกันรับแสงสว่าง ส่วนของรากจะเจริญหนีแสงสว่างเสมอ<br />อุณหภูมิ อุณหภูมิมีผลและทำให้เกิดการหุบ - บานของดอกไม้ ดอกไม้บางชนิดบานในเวลากลางวัน บางชนิดบานในเวลากลางคืน การบานของดอกไม้จะบานในช่วงที่เซลล์กำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตอยู่เท่านั้น เมื่อเซลล์เจริญเต็มที่แล้วจะไม่เกิดการหุบ - บานอีกต่อไป<br />การสัมผัส พืชบางชนิดมีการเคลื่อนไหวได้ช้าจนเรามองไม่เห็น แต่พืชบางชนิดมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อเราไปสัมผัส เช่น ต้นไมยราบ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการสูญเสียของน้ำภายในเซลล์ของกลุ่มเซลล์บริเวณก้านใบ ทำให้ใบหุบทันที แต่เมื่อน้ำค่อย ๆ ซึมกลับเข้ามาในกลุ่มเซลล์บริเวณก้านใบใหม่ใบก็จะบาน นอกจากนี้ยังพบในต้นกาบหอยแครงโดยจะใบเมื่อแมลงบินมาถูกจะหุบงับแมลง ใบพืชตระกูลถั่วจะมีการนอนในขณะดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ต้นก้ามปูใบจะบานตอนกลางวันและหุบตอนกลางคืน<br />น้ำ เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของพืชโดยรากจะเคลื่อนที่เข้าบริเวณที่มีความชื้นและน้ำเท่านั้น<br />การตอบสนองต่อสิ่งเร้าการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (Irritability) เป็นสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่มีผลต่อการดำรงชีวิต จำแนกออกได้ 2 แบบ คือ1. ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเนื่องจากการเจริญเติบโต1.1 แสงสว่างเป็นสิ่งเร้า เช่น การงอกและการเจริญเติบโตของลำต้นจะเคลื่อนไหวเบนเข้าหาแสงส่วนการงอกและการเติบโตของรากจะเคลื่อนไหวหนีแสง1.2 แรงดึงดูดของโลกเป็นสิ่งเร้า เช่น การงอกของรากจะเคลื่อนที่เข้าหาแรงดึงดูด1.3 อุณหภูมิเป็นสิ่งเร้า เช่น การออกดอกและการงอกของเมล็ดพืชบางชนิดในอุณหภูมิต่ำๆ1.4 สารเคมีเป็นสิ่งเร้า เช่น การงอกของละอองเรณูที่ตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย1.5 มีน้ำเป็นสิ่งเร้า เช่น การงอกและเจริญเติบโตของรากเข้าหาส่วนที่มีน้ำหรือความชื่น1.6 มีความสัมผัสเป็นสิ่งเร้า เช่น มือเกาะของพืชชนิดเลื้อย (ตำลึง องุ่น กระทกรก) เมื่อสัมผัสกับต้นไม้อื่นหรือเสา หรือหลักมันจะงอหรือเลี้ยวเข้าพันเอาไว้โดยรอบ เพื่อพยุงลำต้นเอาไว้2.การตอบสนองต่อสิ่งเร้าเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำภายในเซลล์ 2.1 การหุบของพืชบางชนิดตอนพลบค่ำเมื่อมีแสงเป็นสิ่งเร้า พืชที่มีลักษณะข้างต้น ได้แก่ ก้ามปู แค กระถิน ผักกระเฉด และถั่วต่างๆ2.2 การหุบใบของพืชบางชนิดเมื่อมีการสัมผัสหรือการกระเทือนเป็นสิ่งเร้า พืชบางชนิดเมื่อได้รับการสัมผัสหรือการสะเทือน กลุ่มเซลล์ที่โคนก้านใบจะสูญเสียน้ำให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ซึ่งจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และไม่ถาวร ได้แก่- การหุบใบของต้นไมยราบ ผักกระเฉด เมื่อถูกสัมผัสหรือถูกกระเทือน- การหุบใบของพืชพวกที่เปลี่ยนโครงสร้างมาจับแมลงเมื่อมีแมลงมาสัมผัส เช่น กาบ หอยแครง หม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดน้ำค้าง เป็นต้น2.3 การปิด – เปิดของปากใบ เมื่อมีแสงเป็นสิ่งเร้า- ในเวลากลางวัน เซลล์คุมมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง น้ำตาลในเซลล์คุมมีความเข้มข้นสูงกว่าเซลล์ข้างเคียง ทำให้น้ำจากเซลล์ข้างเคียงจึงแพร่ผ่านเข้าสู่เซลล์คุมจนเซลล์คุมแต่งออกทำให้ปากใบเปิด- ในเวลากลางคืนเมื่อพืชไม่ได้รับแสงจึงไม่มีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้น ทำให้น้ำตาลในเซลล์คุมเข้มข้นน้อยกว่าเซลล์ข้างเคียง น้ำจากเซลล์คุมจึงสูญเสียออกไปให้เซลล์ข้างเคียง ทำให้เซลล์คุมเหี่ยว ปากใบที่อยู่ระหว่างเซลล์คุมจึงเปิดhttp://www.vcharkarn.com/vcafe/120484f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-45931316502691985492009-12-19T14:10:00.001+07:002009-12-19T14:18:39.929+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.7 เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง<span style="font-size:180%;color:#993399;"><strong>ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.7 เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง<br /></strong></span>ทำไมพืชส่วนใหญ่มีใบสีเขียว<br />พืชที่เราพบในบริเวณชุมชน หรือบริเวณโรงเรียน ส่วนใหญ่มีใบสีเขียว แต่ก็มีพืชบางชนิดที่มีใบสีอื่น ๆ เช่น สีม่วง สีแดง สีส้ม และสีเหลือง ด้วย<br />สีต่างๆ ที่พบในใบพืช เกิดจากการที่พืชผลิตหรือสร้างสารที่มีสีต่างๆ ขึ้น เรียกสารมีสีเหล่านี้ว่า “รงควัตถุ” (pigment) พืชส่วนใหญ่สร้างรงควัตถุสีเขียว และนักวิทยาศาสตร์พบว่า เป็นสารสีเขียวนี้มีประโยชน์และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพืชอย่างมาก เราเรียกสารสีเขียวนี้ว่า “คลอโรฟิลล์”<br />สารคลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่อยู่ในใบพืช ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานแสงจากแหล่งกำเนิดแสง เช่น ดวงอาทิตย์ เพื่อมาใช้เป็นแหล่งพลังงานในการเปลี่ยนน้ำเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้กลายเป็นอาหารประเภทน้ำตาล และก๊าซออกซิเจน หรือใช้เป็นพลังงานในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงนั่นเอง ด้วยความสามารถของพืชที่สร้างอาหารเองได้ เราจึงเรียกพืชว่า ผู้ผลิต<br />การสังเคราะห์แสง (Photosynthesis) เป็นกระบวนการสร้างอาหารของพืช โดยพืชอาศัยปัจจัยต่างๆ คือ น้ำ แสงแดด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คลอโรฟิลล์ และแร่ธาตุต่างๆ ที่ละลายในน้ำ สิ่งที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง คือ แป้ง และน้ำตาล เพื่อใช้เป็นอาหารของพืชช่วยให้พืชเจริญเติบโต และคายน้ำและออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศ<br />ในกระบวนการสังเคราะห์แสงนั้น พืชต้องการ น้ำ เพราะน้ำจะเป็นตัวละลายแร่ธาตุอาหารในดินให้เข้าไปสู่กระบวนการสังเคราะห์แสง พืชใช้น้ำเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสังเคราะห์แสงเท่านั้น โดยจะเห็นว่าน้ำไม่ใช่อาหารของพืชโดยตรง<br />เมื่อ แสงแดด ส่องผ่านเข้ามาที่ใบพืช คลอโรฟิลล์ จะดูดแสงเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในกระบวนการสังเคราะห์แสง<br />จากนั้นพืชจะทำการดูด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นจึงนำมาทำการสังเคราะห์แสง หลังจากสังเคราะห์แสงจะได้สารอาหาร เป็นแป้ง และน้ำตาล ซึ่งจะใช้เป็นอาหารของพืชอีกครั้ง<br />ความสำคัญของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง<br />การสังเคราะห์ด้วยแสง มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ดังนี้<br />1. เป็นกระบวนการสร้างอาหารเพื่อการดำรงชีวิตของพืช<br />2. เป็นกระบวนการซึ่งสร้างสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตของพืช<br />3. เป็นแหล่งอาหารและแหล่งพลังงานที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เนื่องจากพืชสีเขียวได้ดูดน้ำ รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และดูดพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ไปสร้างสารอาหารพวกน้ำตาล และสารอาหารนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นสารอาหารอื่นๆ ได้ ซึ่งสิ่งมีชีวิตได้นำไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการต่างๆ ของชีวิต จึงถือว่าสารอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด<br />4. เป็นแหล่งผลิตแก๊สออกซิเจนที่สำคัญของระบบนิเวศ โดยแก๊สออกซิเจนเป็นผลที่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ซึ่งแก๊สออกซิเจนเป็นแก๊สที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องนำไปใช้ในการสลายอาหาร เพื่อสร้างพลังงานหรือใช้ในกระบวนการหายใจนั่นเอง<br />5. ช่วยลดปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ<br /><br />http://gotoknow.org/file/tedsaban4phaochum/s03.GIF<br />http://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359311/PPHY4_photosyn.htm<br /><br /><br />ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.9 เรื่อง ประโยชน์ของพืช<br />พืชให้ประโยชน์แก่มนุษย์มากมาย ในชีวิตประจำวัน เช่น ให้ร่มเงา ให้ความสวยงาม สบายตา ให้อากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดีแก่มนุษย์ ตลอดจนเป็นอาหาร ยารักษาโรค บำรุงร่างกายคนเรามากมาย ดังนี้<br />1.ใช้เป็นอาหาร มนุษย์นำส่วนต่าง ๆ ของพืชมารับประทาน เช่น<br />ใช้รากเป็นอาหาร เช่น มันแกว หัวไชเท้า มันเทศ มันฝรั่ง<br />ใช้ต้นเป็นอาหาร ได้แก่ อ้อย ผักกาด หน่อไม้ ขิง หอม กระเทียม<br />ใช้ใบเป็นอาหาร ได้แก่ ใบชะพลู คะน้า กะหล่ำปลี กวางตุ้ง ผักบุ้ง<br />ใช้ดอกเป็นอาหาร ได้แก่ ดอกกุยช่าย ดอกแค ดอกโสน<br />ใช้ผลเป็นอาหาร ได้แก่ มะม่วง ชมพู่ ฝรั่ง ส้ม กล้วย เงาะ ลางสาด<br />2.ใช้เป็นร่มเงา<br />3.ใช้สร้างที่อยู่อาศัย<br />4.ใช้ในการประดับตกแต่ง<br />5.เพิ่มก๊าซออกซิเจนในอากาศ และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์<br />ฯลฯf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-67756938633885044662009-12-19T14:09:00.000+07:002009-12-19T14:10:06.688+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.5 เรื่อง ส่วนประกอบของดอก<span style="font-size:180%;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.5 เรื่อง ส่วนประกอบของดอก<br /></span>โดยทั่วไปดอกจะเป็นส่วนที่สวยที่สุดของต้นไม้ เนื่องจากมีสีสันสวยงามน่าประทับใจ อย่างไรก็ตามยังมีดอกไม้บางชนิดที่ไม่ได้มีสีสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ดอกหญ้า นอกจากนี้ดอกไม้บางชนิดยังมีกลิ่นหอม เช่น กุหลาบ มะลิ บางชนิดมีกลิ่นเหม็น เช่น อุตพิษ พังพวย ราฟเฟิลเซีย บางชนิดออกเป็นดอกเดี่ยว เช่น ชบา บัว บางชนิดมีดอกเป็นกลุ่ม เช่น ดอกเข็ม ลีลาวดี บางชนิดสามารถเปลี่ยนสีดอกได้ตามช่วงเวลาอีกด้วย เช่น ชบาทะเล พุดน้ำบุษ<br />ดอก เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช โดยดอกจะบานเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้ายังไม่ได้รับการผสมพันธุ์ดอกจะเหี่ยวเฉาลงในที่สุด โดยอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้จะผลิตละอองเรณู และเพศเมียจะผลิตเซลล์ไข่ การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นเมื่อละอองเรณูจากเพศผู้ตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย ละอองเกสรตัวผู้จะเคลื่อนตัวเข้าไปผสมไข่อ่อนในรังไข่เกสรตัวเมีย เรียกว่า เกิด “การปฏิสนธิ” เมื่อเมล็ดเจริญขึ้นรังไข่ในดอกจะกลายเป็นผล ซึ่งผลทำหน้าที่ห่อหุ้มและปกป้องเมล็ด จนกระทั่งเมล็ดพร้อมที่จะเจริญเป็นต้นใหม่<br />ดอกไม้ มีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 อย่าง คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย<br />1.กลีบเลี้ยง คือ กลีบชั้นนอกสุดของดอกไม้ มักมีสีเขียวทำหน้าที่ป้องกันส่วนอื่นๆของดอกไม้ รวมทั้งแมลง ในช่วงที่กำลังเจริญเติบโต เมื่อดอกไม้มีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะดันกลีบเลี้ยงให้แยกออกจากกัน<br />2.กลีบดอก โครงสร้างชั้นถัดจากกลีบเลี้ยง ทำหน้าที่ป้องกันเกสรในขณะที่ดอกยังอ่อนอยู่ และทำหน้าที่ล่อแมลงเพื่อช่วยในการถ่ายละอองเรณูในการผสมเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย โดยมากมักจะมีสีสันสวยงาม<br />3.เกสรตัวผู้ ส่วนที่ใช้สืบพันธุ์เพศผู้ของดอกไม้ ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ประกอบด้วย<br />- อับละอองเรณู คือ ส่วนปลายสุดของก้านเกสร มีลักษณะเป็นฝุ่นผงละเอียด<br />- ก้านชูอับละอองเรณู คือ เป็นส่วนที่ต่อจากยอดเกสรตัวผู้ลงมามีลักษณะเป็นท่อยาวเรียงลงมา และโดยมากละอองเรณูจะมีลักษณะเป็นผงละเอียด<br />4.เกสรตัวเมีย อวัยวะหนึ่งของดอกไม้ที่ใช้สืบพันธุ์ ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ เพศเมีย ประกอบด้วย<br />- ยอดเกสรตัวเมีย คือ ส่วนปลายสุดของก้านเกสรตัวเมีย มีลักษณะเป็นปุ่ม มีขน หรือยางเหนียวๆ สำหรับดับจับละอองเรณูที่ปลิวมาหรือติดขาแมลงพามา<br />- ก้านชูเกสรตัวเมีย คือ เป็นส่วนที่ต่อจากยอดเกสรตัวเมียลงมามีลักษณะเป็นท่อยาวเรียงลงมาถึงรังไข่ <br />- รังไข่ คือ ส่วนที่อยู่ติดกับฐานดอก มีลักษณะพองโตออกเป็นกระเปาะ ใช้ทำหน้าที่ป้องกันไข่อ่อน<br />- ไข่อ่อน คือ ส่วนที่อยู่ในถุงเก็บเซลล์ไข่ (ออวุล) ซึ่งจะซ่อนอยู่ภายในรังไข่<br />ประเภทของดอกไม้ <br />เราสามารถจัดจำแนกดอกไม้โดยใช้เกณฑ์หลายๆ แบบ อาทิ<br />1.จำแนกตามลักษณะของเพศ ได้ดังนี้<br />· 1.1 ดอกสมบูรณ์เพศ คือ ดอกที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน เช่น ดอกตำลึง พู่ระหง กุหลาบ มะเขือ พริก เป็นต้น<br />· 1.2 ดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือ ในดอกจะมีเพียงเกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดอกที่มีแต่เกสรตัวผู้ เรียก “ดอกตัวผู้” ดอกที่มีแต่เกสรตัวเมีย เรียก “ดอก-ตัวเมีย” ดอกไม้ที่ไม่มีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมีย เรียก “ดอกเป็นกลางหรือดอกเป็นหมัน” และหากในพืชต้นหนึ่งๆ มีดอกสมบูรณ์เพศหรือมีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมียในต้นเดียวกัน แม้จะคนละดอกหรือต่างช่อดอก เรียกพืชต้นนั้นว่า พืชกะเทย เช่น ข้าวโพด<br />· <br />2.จำแนกตามส่วนประกอบของดอก ได้ดังนี้<br />2.1 ดอกครบส่วน คือ ดอกที่มีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ครบ เช่น กุหลาบ เป็นต้น<br />2.2 ดอกไม่ครบส่วน คือ ดอกที่มีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ไม่ครบ เช่น กล้วยไม้ เป็นต้น<br /><br />3.จำแนกตามจำนวนดอกในแต่ละช่อ ได้ดังนี้<br />· 3.1 ดอกเดี่ยว เป็นดอกที่เกิดขึ้นบนก้านดอก เป็นดอกเดียวโดดๆ ในแต่ละข้อของกิ่งหรือลำต้น เช่น ชบา จำปี การะเวก เป็นต้น<br />3.2 ดอกช่อ เป็นดอกที่เกิดเป็นกลุ่มอยู่บนก้านดอกใหญ่เดียวกัน และประกอบด้วยก้านดอกย่อยๆ หลายดอก เช่น กล้วยไม้ มะลิ เข็ม เป็นต้น<br /><br />วัฏจักรชีวิตพืชดอก<br />เมื่อนำเมล็ดพืชไปปลูกสักระยะหนึ่ง เมล็ดพืชจะค่อย ๆ งอกรากออกมาต่อจากนั้นลำต้นจะงอกออกมาจนเป็นต้นพืชเล็ก ๆ และเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและสูงขึ้น เมื่อต้นพืชเจริญเติบโตเต็มที่ จะออกดอก และเมื่อดอกได้รับการผสมพันธุ์ก็จะเกิดเป็นผล ซึ่งภายในผลของพืชมีเมล็ดที่สามารถเจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ต่อไป <br />การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว เรียกว่า “วัฏจักรชีวิตของพืชดอก” ซึ่งจะเกิดหมุนเวียนกันไป<br /><br />วัฏจักรชีวิตของพืชดอก<br />1) เมล็ดงอกราก<br />2) มีการงอกของลำต้น<br />3) มีการเจริญเติบโตของใบและส่วนต่างๆ จนกลายเป็นต้นที่เจริญเต็มที่<br />4) ออกดอกเพื่อเข้าสู่ช่วงการผสมพันธุ์<br />5) ดอกได้รับการผสมกลายเป็นผล ซึ่งภายในผลจะมีเมล็ดอยู่เพื่อการขยายพันธุ์ต่อไปf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-18605816937071236342009-12-19T14:07:00.000+07:002009-12-19T14:09:00.230+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.3 เรื่อง หน้าที่ของลำต้น<strong><span style="color:#993399;"><span style="font-size:180%;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.3 เรื่อง หน้าที่ของลำต้น</span><br /></span></strong>ลำต้นเป็นส่วนประกอบหนึ่งของพืชที่คอยรองรับกิ่งและใบพืช โดยส่วนใหญ่แล้ว ลำต้นจะเป็นส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไปหรืออยู่ในอากาศ ลำต้นจะเชื่อมต่อรากและใบ เราจะพบว่าส่วนใหญ่ลำต้นจะเจริญเติบโตในแนวดิ่ง พืชที่สูง ลำต้นหนา ใหญ่ และลำต้นแข็ง เราจะเรียกพืชกลุ่มนี้ว่า ไม้ยืนต้น(Tree) ส่วนพืชบางชนิดที่ต้นเตี้ยและเป็นพุ่ม มีขนาดลำต้นเล็กกว่าพืชยืนต้น เราเรียกพืชกลุ่มนี้ว่า ไม้พุ่ม(Shrub) ทั้งไม้ยืนต้นและไม้พุ่มมีลำต้นที่แข็งและตั้งตรงขึ้นไป แต่เราจะพบว่าพืชบางชนิดมีลำต้นที่ไม่แข็งนักจนมันไม่สามารถตั้งลำต้นให้ตรงได้ เราเรียกพืชกลุ่มนี้ว่า ไม้เลื้อย เรามักใช้พืชกลุ่มนี้ทำรั้ว เกาะประดับกำแพง ผนัง หรือปลูกคลุมดิน<br />ขนาดของลำต้นขึ้นอยู่กับจำนวนกิ่งที่อยู่ต่อขึ้นไปจากลำต้น บริเวณลำต้นจะมีเปลือกไม้ปกคลุมอยู่ที่ผิวด้านนอกของลำต้น เปลือกไม้มีลักษณะต่างๆ กันมากมาย ทั้งสี ความหนา และลักษณะพื้นผิวสัมผัส <br />เราจะสังเกตว่าบริเวณลำต้นมีจุดเล็กอยู่ด้านข้างด้วย เราเรียกว่า ตาพืช และตรงปลายบนสุดของลำต้นมีใบพืชขนาดเล็กละมีสีเขียวอ่อนอยู่ เราเรียกว่า ยอดพืช<br />ยอดพืช คือ ลำต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ดหรือลำต้นหลัก<br />ตาพืช คือ จุดเจริญเล็กๆ บนลำต้น ซึ่งอาจมีการพัฒนาไปเป็นยอดพืชหรือดอกก็ได้<br /><br />หน้าที่หลักและหน้าที่พิเศษของลำต้น<br />1. เป็นทางลำเลียงน้ำ และอาหารจากรากสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช<br />2. เป็นโครงสร้างหลักเพื่อให้ส่วนประกอบอื่นๆ สามารถอยู่รวมกันได้ <br />3. ลำต้นทำหน้าที่ชูกิ่ง ก้าน ใบ ดอก เพื่อรับแสงแดด<br />4. เป็นที่เก็บสะสมอาหารในพืชบางชนิด เช่น ขึ้นฉ่าย ไผ่ และกวนอิม เป็นต้น<br />5. ช่วยในการสังเคราะห์แสง พืชกลุ่มนี้มักมีใบขนาดเล็กเกินกว่าจะรับแสงอาทิตย์ได้เพียงพอ เช่น กระบองเพชร<br />ลำต้นของพืช จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามตำแหน่งที่อยู่ ได้แก่<br />1. พืชที่มีลำต้นบนดิน<br />พืชที่มีลำต้นบนดิน ได้แก่ มะพร้าว มะเขือ ข้าว มะม่วง ขนุน กระเพรา<br /><br />ลักษณะของลำต้นบนดิน<br />พืชส่วนใหญ่มีลำต้นอยู่บนดิน ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็นหลายลักษณะ เช่น<br /> 1. ลำต้นตั้งตรง เป็นลำต้นของพืชยืนต้นทั่วไป เช่น ยางพารา เงาะ มะพร้าว มะละกอ เป็นต้น<br /> 2. ลำต้นเลื้อย เป็นลำต้นที่เลื้อยไปตามพื้นดิน หรือพื้นน้ำ บริเวณข้อมักมีรากงอกออกมาเพื่อหาอาหารโดยการแทงลงดิน และช่วยยึดลำต้นเอาไว้ เช่น ผักบุ้ง ผักแว่น หญ้า เป็นต้น<br /> 3. ลำต้นไต่พันหลัก เป็นลำต้นอ่อนเลื้อยแล้วไต่ขึ้นที่สูง โดยไต่พันหลักเป็นเกลียว เช่น เถาวัลย์ ต่าง ๆ<br /> 4. ลำต้นเปลี่ยนเป็นมือเกาะ เป็นส่วนของลำต้นที่ดัดแปลงไปเป็นมือเกาะ โดยส่วนของมือเกาะจะบิดเป็นเกลียวคล้ายลวดสปริงยืดหยุ่นได้ เช่น บวบ แตงกวา ตำลึง เป็นต้น<br /> 5. ลำต้นเปลี่ยนเป็นหนาม เป็นส่วนของลำต้นที่เปลี่ยนไปเป็นหนาม หรือขอเกี่ยว ช่วยในการไต่ขึ้นที่สูง และป้องกันอันตราย เช่น เฟื่องฟ้า ไมยราบ เป็นต้น<br />2. พืชที่มีลำต้นใต้ดิน<br />พืชที่มีลำต้นใต้ดินมักมีลักษณะเป็นเหง้า เป็นหัว เราจะแยกรากกับลำต้นได้โดยดูข้อปล้อง หากที่หัวหรือเหง้ามีข้อปล้องหรือตา แสดงว่าเป็นลำต้นที่ใช้สะสมอาหาร พืชที่มีลำต้นใต้ดิน เช่น แห้ว ขิง ข่า เผือก มันฝรั่งf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-39365885645861481072009-12-19T14:05:00.000+07:002009-12-19T14:06:56.453+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.2 เรื่อง รากพืช<strong><span style="font-size:180%;color:#993399;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.2 เรื่อง รากพืช</span></strong><br />ราก (root) เป็นส่วนประกอบของพืชที่เจริญเติบโตลงสู่ดินตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อช่วยยึดลำต้นให้ติดกับพื้นดิน รากพืชส่วนใหญ่ไม่มีคลอโรฟิลล์ ชนิดของรากเมื่อแยกตามกำเนิด จำแนกออกเป็น 3 ชนิด <br />ชนิดของราก<br />1. Primary root หรือ รากแก้ว (tap root) มีลักษณะ ตอนโคนจะโตแล้วค่อยเรียวเล็กลงไปจนถึงปลาย จะยาวและใหญ่กว่ารากอื่นๆ ที่แยกออกไปทำหน้าที่เป็นหลักรับส่วนอื่นๆ ให้ทรงตัวอยู่ได้ รากชนิดนี้พบในพืชใบเลี้ยงคู่ที่งอกออกจากเมล็ดโดยปกติ ส่วนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่งอกออกจากเมล็ดใหม่ๆ ก็มีรากระบบนี้เหมือนกันแต่มีอายุได้ไม่นานก็เน่าเปื่อยไปแล้วเกิดรากชนิดใหม่ขึ้นมาแทน(รากฝอย)<br />2. Secondary root หรือรากแขนง(branch root) เป็นรากที่เจริญเติบโตออกมาจากรากแก้ว มักงอกเอียงลงไปในดินจนเกือบขนานหรือขนานไปกับพื้นดิน รากชนิดนี้อาจแตกแขนงออกเป็นทอดๆ ได้อีกเรื่อยๆ<br />3. Adventitious root หรือ รากวิสามัญ เป็นรากที่ไม่ได้กำเนิดมาจากรากแก้วหรือ รากแขนง รากพืชชนิดนี้อาจแตกออกจากโคนต้นของพืช ตามข้อของลำต้นหรือกิ่ง ตามใบหรือจากกิ่งตอนของไม้ผลทุกชนิด แยกเป็นชนิดย่อยได้ตามรูปร่างและหน้าที่ เช่น รากค้ำจุน รากเกาะ เป็นต้น<br />หน้าที่ของราก<br />ราก มีหน้าที่หลักที่สำคัญอยู่ 2 ประการ คือ<br />1. ดูดน้ำ และแร่ธาตุ จากพื้นดินส่งขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ซึ่งต้องนำไปผ่านกระบวนการปรุง หรือการสังเคราะห์ด้วยแสงก่อน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน แต่จะเอารากไปแช่ในน้ำซึ่งมีปุ๋ย หรือธาตุอาหารผสมอยู่ ดังนั้นการดูดน้ำหรือแร่ธาตุที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะไม่ใช่จากพื้นดินเสมอไป<br />2. ยึดลำต้นให้ติดกับพื้นดิน พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับที่มีลำต้นชี้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ส่งกิ่งก้านที่มีใบติดอยู่ขึ้นรับแสงอาทิตย์เพื่อปรุงอาหาร ถ้าพืชไม่มีรากลำต้นจะตั้งตรงหรือยึดเกาะหน้าดินอยู่ไม่ได้<br /><br /><br /><br />หน้าที่พิเศษของราก<br />พืชบางชนิด มีรากซึ่งทำหน้าที่พิเศษ ซึ่งรากชนิดนี้เป็นรากที่เจริญมาจากรากวิสามัญหรือ Adventitious root แบ่งประเภทได้ตามรูปร่างและหน้าที่พิเศษ ดังนี้<br /> - รากฝอย (fibrous root) เป็นรากเส้นเล็กๆมากมาย ขนาดเท่ากันตลอดเส้นราก ไม่เรียวลงที่ปลายอย่างรากแก้ว งอกออกจากรอบโคนต้นแทนรากแก้วที่ฝ่อเสียไปหรือที่หยุด การเจริญเติบโต มักพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่<br /> - รากค้ำจุน (Prop root) เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลำต้นที่อยู่ใต้ดิน และเหนือดินขึ้นมาเล็กน้อย และพุ่งแทงลงไปในดิน เพื่อช่วยในการพยุงลำต้นไม่ให้ล้มง่าย เช่น รากค้ำจุนของต้นข้าวโพด ต้นลำเจียก ต้นโกงกาง เป็นต้น<br /> - รากเกาะ (Climbing root) เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลำต้นแล้วมาเกาะตามหลักหรือเสา เพื่อพยุงลำต้นให้ติดแน่นและชูลำต้นขึ้นที่สูง เช่น พลู พลูด่าง กล้วยไม้ เป็นต้น<br /> - รากสังเคราะห์แสง (photosynthtic root) เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลำต้น แล้วห้อยลงมาในอากาศ มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ เป็นรากที่ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง เช่น รากกล้วยไม้ที่มีสีเขียว รากของไทร โกงกาง เป็นต้น<br /> - รากหายใจ (Respiratory root)รากพวกนี้เป็นแขนงงอกออกจากรากใหญ่ที่แทงลงไปในดินอีกทีหนึ่ง แต่จะชูปลายรากขึ้นมาเหนือดินหรือผิวน้ำ บางทีก็ลอยตามผิวน้ำ เช่น รากของแพงพวย กล้วยไม้ ไทร เป็นต้น<br /><br /><br /> - รากกาฝาก (Parasitic root) เป็นรากของพืชบางชนิดที่เป็นปรสิต เช่น รากของต้นกาฝาก ต้นฝอยทอง เป็นต้น<br /> - รากสะสมอาหาร (storage root) เป็นรากที่ทำหน้าที่ในการสะสมอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล หรือ โปรตีนเอาไว้ ทำให้มีลักษณะอวบอ้วนเรามักเรียกว่า หัว เช่น หัวแครอท หัวผักกาด หัวมันเทศ หัวมันแกว มันสำปะหลัง กระชาย เป็นต้น<br />ภาพตัดขวางแสดงเซลล์รากพืช<br />อ้างอิงจาก<br />http://www.promma.ac.th/biology/web5/p3.htmf&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-85272132369202020082009-12-19T14:02:00.001+07:002009-12-19T14:05:24.488+07:00ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.1 เรื่อง ส่วนประกอบต่างๆ ของพืช<span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#993399;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 4.1 เรื่อง ส่วนประกอบต่างๆ ของพืช<br /></span></strong>ส่วนประกอบต่างๆ ของพืช<br />พืชประกอบด้วยอวัยวะที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด ซึ่งอวัยวะแต่ละส่วนของพืชนั้นมีหน้าที่และส่วนประกอบแตกต่างกัน แต่ทำงานเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันหากขาดอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไป อาจทำให้พืชนั้นผิดปกติหรือตายได้ และยังมีปัจจัยบางประการที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช<br />แต่ก็ยังมีพืชบางชนิดมีส่วนประกอบเพียง ราก ลำต้น ใบ ดอก หรือบางชนิดมีเพียง ราก ลำต้นและใบ แต่สิ่งที่สำคัญของส่วนประกอบต่างๆ ของพืชที่เหมือนกัน ก็คือ ให้เกิดความอยู่รอด และการเจริญเติบโต<br />ส่วนประกอบต่างๆ ของพืช<br />ราก คือ อวัยวะที่เป็นส่วนประกอบของพืชที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ ไม่มีข้อ ปล้อง ตาและใบ รากเจริญเติบโตตามแรงดึงดูดของโลกลงสู่ดิน มีขนาดและความยาวแตกต่างกัน รากของพืชมีหลายชนิด<br />ลำต้น คือ อวัยวะของพืชที่โดยทั่วไปเจริญอยู่เหนือพื้นดินต่อจากราก มีขนาด รูปร่าง และลักษณะแตกต่างกันไป ลำต้นมีทั้งลำต้นอยู่เหนือดิน เช่น มะละกอ มะม่วง มะนาว ชมพู่ เป็นต้น และลำต้นอยู่ใต้ดิน เช่น ขิง ข่า ขมิ้น กล้วย หญ้าแพรก พุทธรักษา เป็นต้น<br />ใบ คือ อวัยวะของพืชที่เจริญออกมาจากข้อของลำต้นและกิ่ง ใบส่วนใหญ่จะมีสารสีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิลล์ ใบมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช ใบประกอบด้วย ก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลาง และเส้นใบ<br />ดอก คือ อวัยวะสืบพันธุ์ของพืช ทำหน้าที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ที่เกิดมาจากตาชนิดตาดอกที่อยู่ตรงบริเวณปลายยอด ปลายกิ่ง บริเวณลำต้นตามแต่ชนิดของพืช<br /></span>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-90144153005557518162009-11-03T15:01:00.005+07:002009-11-03T15:10:35.781+07:00ความสัมพันธ์ระหว่างหินและดิน ตอนที่ 2 บทสรุป<span style="font-family:georgia;"><span style="color:#6600cc;"><strong><span style="font-size:180%;color:#333399;">ความสัมพันธ์ระหว่างหินและดิน ตอนที่ 2 บทสรุป</span></strong> </span></span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:georgia;color:#6600cc;">จากที่กล่าวมาทั้งหมดเมื่อพิจารณาจะพบว่ามีความสัมพันธ์หนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหินและดิน นั่นก็คือ </span></span><br /><br /><span style="font-family:georgia;font-size:130%;color:#6600cc;">เมื่อหินชนิดต่างๆ ผุพังและกร่อน และมีการรวมตัวกันกับซากพืชซากสัตว์หรืออินทรียวัตถุ สิ่งที่ได้นั่นก็คือดิน แต่คุณลักษณะของดินที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับชนิดของหินที่เป็นต้นกำเนิด รวมถึงอินทรียวัตถุต้นกำเนิดด้วย 2สิ่งนี้จึงถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพดินอีกด้านหนึ่งด้วย</span>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com19tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-33187559081833655902009-11-03T14:49:00.003+07:002009-11-03T15:01:36.999+07:00องค์ประกอบและความสำคัญของดิน<div align="left"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#6600cc;"><strong>ใบความรู้ กิจกรรมที่ 2.6 เรื่อง องค์ประกอบ<br />และความสำคัญของดิน<br /><br /></strong>เราทราบแล้วว่าหินมีการผุพังและการกร่อน เมื่อหินเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแล้วหินจะกลายเป็นเศษแร่และหิน ที่เราเรียกว่า สารอนินทรีย์<br />ส่วนผสมของเศษแร่และหินซึ่งเป็นสารอนินทรีย์ กับเศษซากสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นสารอินทรีย์หรือฮิวมัส เมื่อสารอนินทรีย์ต่างๆ มาผสมเข้ากับอินทรียวัตถุก็จะกลายเป็นดิน กระบวนการเกิดดินจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ คือ หินต้นกำเนิดดิน สภาพผิวโลก ภูมิอากาศ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ หินต้นกำเนิดดินจะสัมพันธ์โดยตรงกับชนิดดิน ดินแต่ละแห่งบนโลกจะมีลักษณะแตกต่างกันไปขึ้นกับชนิดของหินที่เป็นต้นกำเนิดนั่นเอง </span></span></div><div align="left"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;">ดินปกคลุมพื้นผิวโลกอยู่เพียงบางๆ เท่านั้น และแต่ละแห่งจะหนาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น ถ้าเป็นภูเขาที่ลาดชันจะมีดินค่อนข้างบาง<br />นอกจากดินจะมีส่วนประกอบเป็นแร่ธาตุและอินทรียวัตถุแล้ว ในดินยังมีน้ำและอากาศอยู่อีกด้วย ดินแต่ละชนิดจะมีสัดส่วนขององค์ประกอบทั้งสี่แตกต่างกันไป </span></div><div align="left"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"></span></div><p><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"><strong>ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกพืช ควรมีสัดส่วนขององค์ประกอบต่างๆ ดังนี้</strong></span></p><span style="font-size:130%;"><strong><ol><li></strong><span style="color:#6600cc;">มีแร่ธาตุอาหาร ที่เกิดจากการสลายตัวของหินและแร่ ประมาณ 45%</span></li><li><span style="color:#6600cc;">มีอินทรียวัตถุ ที่เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังของซากพืช ซากสัตว์ ประมาณ 5 %</span></li><li><span style="color:#6600cc;">มีอากาศ แทรกอยู่ในช่องว่างระหว่างก้อนดิน ประมาณ 25%</span></li><li><span style="color:#6600cc;">มีน้ำ อยู่ในช่องว่างระหว่างก้อนดิน มีประมาณ 25%</span></span></li></ol><div align="left"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;">ถ้าดินมีองค์ประกอบทั้ง 4 นี้ในปริมาณที่เหมาะสม พืชจะเจริญเติบโตได้ดี<br />ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของพืช พืชได้อาศัยดินเป็นแหล่งอาหารในการเจริญเติบโต ขยายพันธุ์ และใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวลำต้น เมื่อพืชเติบโตก็ได้กลายเป็นอาหารของสัตว์และมนุษย์ต่อไป ดินจึงมีความสำคัญมากเพราะดินเป็นที่เกิดของปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของทั้งพืช สัตว์และมนุษย์ หากมีการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายในดิน พืชก็จะดูดซึมสารพิษเหล่านั้นไว้ในลำต้น สัตว์และมนุษย์ที่ไปพืชก็จะได้รับสารพิษไปด้วย เราจึงต้องช่วยกันดูแลคุณภาพของดิน โดยการไม่ทิ้งสิ่งที่มีอันตรายลงในดิน เช่น ถ่านไฟฉายที่หมดแล้ว เป็นต้น</span></div><div align="left"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;">สำหรับพืชโดยทั่วไปจะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซึ่งมีความชุ่มชื้นเหมาะสม แต่พืชบางชนิดเช่น ข้าวและบัว ชอบน้ำมากจึงชอบขึ้นในดินเหนียวเพราะดินเหนียวอุ้มน้ำได้ดี ส่วนมันสำปะหลังต้องการน้ำน้อยจึงชอบขึ้นในดินทรายเพราะดินทรายไม่อุ้มน้ำ ดังนั้นในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีดินต่างชนิดกันจึงมีพืชประจำถิ่นที่แตกต่างกัน</span></div><div align="left"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"></span></div><p align="left"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#6600cc;"><strong>สถานการณ์ปัจจุบันและสภาพปัญหา</strong><br />การใช้ทรัพยากรดินของประเทศไทยในปัจจุบัน มีปัญหาที่สามารถประมวลได้เป็น 4 ลักษณะ คือ </span></span></p><span style="font-size:130%;"><ol><li><div align="left"><span style="color:#6600cc;">การใช้ที่ดินผิดประเภท เช่น การบุกรุกทำลายป่า ซึ่งควรสงวนไว้เป็นต้นน้ำลำธาร มาทำไร่เลื่อนลอย หรือการใช้ที่ดินที่เหมาะสมต่อการเกษตรมาใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือเขตอุตสาหกรรม พื้นที่ดังกล่าวมีอยู่ประมาณ ๓๐ ล้านไร่ </span></div></li><li><div align="left"><span style="color:#6600cc;">ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน ซึ่งเกิดจากการชะล้างพักทลายของดินและการขาดอินทรียวัตถุในดิน ปัญหานี้มีอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เป็นปัญหาซึ่งพบมากที่สุดในประเทศไทย เป็นพื้นที่รวมกันถึง ๒๙๘ ล้านไร่</span></div></li><li><div align="left"><span style="color:#6600cc;">สภาพธรรมชาติของดินไม่เหมาะสม เช่น ดินเปรี้ยว เกิดอยู่ทั่วไปในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง ประมาณ ๒.๓ ล้านไร่ ดินเค็ม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เป็นพื้นที่ประมาณ ๑๗.๘ ล้านไร่ ดินเค็มและดินเปรี้ยวภาคใต้ เป็นพื้นที่รวม ๒.๔ ล้านไร่ ดินพรุ คือ ดินที่เกิดจากซากพื้นที่ทับถมกันยังไม่เกิดการสลายตัว และมีน้ำแช่ขังอยู่เกือบตลอดปี มีอินทรียวัตถุสูงมากเกินไป ทำให้มีโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชหรือทำการเกษตร พื้นที่ดังกล่าวมีประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ทางภาคใต้ </span></div></li><li><div align="justify"><span style="color:#6600cc;">ดินที่มีปัญหาจากสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประกอบ เช่น บริเวณบางพื้นที่ในภาคตะวันอกเฉียงเหนือ (ทุ่งกุลาร้องไห้) ซึ่งแห้งแล้งและขาดความอุดมสมบูรณ์ และที่ดินชายฝั่งทะเล ซึ่งยังมีการใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ หรือที่ดินเหมืองแร่เก่า ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของดินอยู่ในระดับต่ำมาก ปัญหาสำคัญที่สุดและพบมากที่สุดในประเทศไทยคือ ปัญหาดินเสื่อมคุณภาพขาดธาตุอาหารในดิน ที่ดินหลายล้านไร่กำลังเปลี่ยนสภาพในระยะเวลาอันใกล้ที่ดินหลายแห่งอาจจะไม่สามารถใช้ทำการเพาะปลูกได้อีกต่อไป<br />ปัญหาทั้งหลายนี้เป็นผลมาจากการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติมากเกินขนาดโดยขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ และไม่ได้พยายามฟื้นฟูบำรุงรักษาธรรมชาติให้ฟื้นกลับคืนมาเป็นการทดแทน ที่ดินจึงกลายเป็นทรัพยากรที่กำลังเสื่อมคุณภาพ เพราะการใช้ประโยชน์ที่ไม่ถูกวิธี รวมทั้งในแง่ปริมาณพื้นที่ก็นับว่าน้อยลงไปเป็นลำดับด้วย เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น<br />นอกจากนั้นปัญหาการครอบครองและกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็เป็นปัญหาสำคัญอีกด้านหนึ่งสำหรับเกษตรกร มีพื้นที่ ๖๖.๓ ล้านไร่ ซึ่งมีเกษตรกรทำกินอยู่โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด ๆ เลย และมีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ครอบครัว หรือร้อยละ ๑๐.๗ ของครอบครัวเกษตรกรทั้งประเทศอยู่ในสภาพไร้ที่ทำกิน เมื่อรวมการเช่าที่ดินทั้งจากเกษตรกรที่มีที่ดินทำกินไม่เพียงพอ และเกษตรกรที่ไร้ที่ทำกินแล้ว รวมพื้นที่เช่าทั้งหมดถึง ๑๔ ล้านไร่<br /><span style="font-family:arial;"><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php">http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php</a></span></span></div></li></ol><p align="justify"><span style="color:#6600cc;">เราทราบดีว่าดินมีประโยชน์ต่อเรามาก ดังนั้นพวกเราควรใช้ดินอย่างรู้คุณค่า โดยมีการอนุรักษ์และบำรุงดินหลายวิธี ดังนี้<br /><br /><strong><span style="font-size:180%;">การอนุรักษ์และบำรุงดิน</span></strong><br /><strong>1. ใช้ปุ๋ยคอก</strong> คือ การใช้มูลสัตว์ต่างๆ ซึ่งมูลสัตว์มักจะสูญเสียธาตุอาหารไปได้ง่าย จึงควรใช้เศษซากพืช เช่น ฟาง แกรบรองพื้นคอกสัตว์เพื่อดูดซับธาตุอาหารจากมูลสัตว์ไว้ด้วย<br /><strong>2. ใช้ปุ๋ยหมัก</strong> คือ การนำเอาเศษซากพืชที่เหลือจาการเพาะปลูก เช่น ฟางข้าว ซังเข้าโพด ต้นถั่วต่างๆ ผักตบชะวา และของเหลือจากโรงงานอุตสาหกรรมตลอดจนขยะมูลฝอย มามักจะเน่าเปลื่อยแล้วนำไปใช้ในไร่นาและสวน<br /><strong>3. ใช้ปุ๋ยพืชสด</strong> คือ การไถกลบส่วนต่างๆ ของพืชที่ยังสดอยู่ลงในดิน เพื่อให้เน่าปลื่อยแป็นปุ๋ย ส่วนใหญ่จะใช้พืชตระกูลถั่ว เพราะให้ธาตุไนโตรเจนสูง และย่อยสลายง่าย โดยเฉพาะในระยะออกดอก อาจปลูกแล้วไถกลบในช่วงที่ออกดอก หรือปลูกแล้วตัดส่วนเหนือดินไปไถกลบลงในดิน<br /><strong>4. ปลูกพืชคลุมดิน</strong> นิยมใช้พืชตระกูลถั่วที่มีคุณสมบัติคลุมดินได้หนาแน่นเพื่อกันวัชพืช ลดการชะล้าง เก็บความชื้นไว้ในดินได้ดี และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ได้แก่ ถั่วลาย ถั่วคุดซู ถั่วคาโลโปโกเนียม เป็นต้น<br /><strong>5. ใช้วัสดุคลุมดิน</strong> นิยมใช้เศษพืชเป็นวัสดุคลุมดิน พื่อรักษาความชื้นในดิน ป้องกันการอัดแน่นของดินเนื่องจากเม็ดฝน ป้องกันวัชพืชขึ้น และเมื่อเศษพืชเหล่านี้สลายตัว ก็จะกลายเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน<br /><strong>6. ใช้เศษเหลือของพืชหรือสัตว์</strong> หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ส่วนของต้นพืช เศษพืชที่เหลือ เช่น ต้นและเปลือกถั่วลิสง แกลบ ตอซัง หรือวัสดุอื่นๆ ถ้าไม่มีการใช้ประโยชน์ควรไถกลบกลับคืนลงไปในดิน ส่วนเศษเหลือของสัตว์ เช่น เลือดและเศษซากสัตว์จากโรงงานฆ่าสัตว์ ก็สามารถใช้เป็นปุ๋ยเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุได้<br /><strong>7. ปลูกพืชหมุนเวียน</strong> โดยปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียนในพื้นที่เดียวกัน ควรมีพืชตระกูลถั่ว ซึ่งมีคุณสมบัติบำรุงดินร่วมอยู่ด้วยเพื่อให้การใช้ธาตูอาหารจากดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพลดการระบาด ของศัตรูพืช ตลอดจนช่วยให้ชั้นดินมีเวลาพักตัวในกรณีพืชที่ปลูกมีระบบรากลึกแตกต่างกัน<br />http://www.doae.go.th/ni/soilder/soil3.htm<br /></span></span><a href="http://www.chiangrai.net/CPOC/miniWeb/tea/new_page_6.htm"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;">http://www.chiangrai.net/CPOC/miniWeb/tea/new_page_6.htm</span></a><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#6600cc;"><br /></span><span style="color:#6600cc;"><strong><span style="font-size:180%;">ประโยชน์ของการบำรุงดิน<br /></span></strong>1. ทำให้ดินจับตัวกันเป็นก้อนเล็กๆ ร่วนซุย ไถพรวนง่ายระบายน้ำและอากาศได้ดี รากพืชก็จะเจริญเติบโตได้ดี<br />2. ทำให้ดินทนทานต่อการชะล้างดิขึ้น<br />3. ทำให้ดินอุ้มน้ำได้มากขึ้น และลดการระเหยน้ำออกจากดิน<br />4. ทำให้ดินดูดซับธาตุอาหารพืชไว้เป็นประโยชน์แก่พืชได้มากขึ้น<br />5. อินทรีย์วัตถุจะสลายตัว ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืช<br />6. ทำให้ธาตุอาหารพืชในดินละลายออกมาเป็นประโยชน์มากขึ้น<br />7. เพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปในดิน ให้เป็นประโยชน์แก่พืชมากขึ้น และลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ในระยะยาว<br />8. ทำให้ได้รับผลผลิตสูงขึ้ง และได้ผลผลิตี่มีคุณภาพดี<br />http://www.chiangrai.net/CPOC/miniWeb/tea/new_page_6.htm</span></span></p><div align="left"><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"></span></div>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com13tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-27118318829887925822009-11-02T12:40:00.000+07:002009-11-03T14:41:04.847+07:00การกร่อนของหิน<span style="font-family:georgia;"><span style="font-size:130%;"><strong><span style="font-size:180%;color:#993399;">ใบความรู้ กิจกรรมที่ 2.5 เรื่อง การกร่อนของหิน<br /></span></strong><br />สาเหตุการเปลี่ยนแปลงสภาพของหิน มี 2 สาเหตุหลักๆ คือ 1.การผุพังอยู่กับที่ และ2.การกร่อน โดยการกร่อนของหินหมายถึง กระบวนการที่ทำให้หินเปลี่ยนแปลงสภาพไป เนื่องจากเกิดการขัดสีจนหินเกิดการเปลี่ยนแปลงไป เกิดขึ้นได้เมื่อหินถูกกระแสน้ำ กระแสลม หรือธารน้ำแข็งพัดพาไป ทำให้มีขนาดเล็กลง มีผิวเรียบเนียนหรือมีรูปร่างกลมมน นอกจากนี้แรงดึงดูดของโลกยังดึงหินที่เกิดจากการผุพังอยู่กับที่ให้กลิ้งลงสู่ที่ต่ำกว่า ซึ่งระหว่างที่หินเคลื่อนที่ก็จะเกิดการกระแทกขัดสีจนทำให้หินกร่อนได้เช่นกัน<br /></span></span><strong><span style="color:#ff6600;"><span style="font-family:georgia;font-size:130%;">สรุป<br />การกร่อนของหิน คือ กระบวนการที่หินมีการเปลี่ยนขนาด เปลี่ยนรูปร่างไป อันเนื่องมาจากการถูกขัดสี เช่น จากกระแสน้ำ กระแสลม หรือธารน้ำแข็งพัดพา </span></span></strong>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com9tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-79313315347619040052009-11-02T12:23:00.000+07:002009-11-02T12:37:54.015+07:00กระบวนการเปลี่ยนแปลงของหิน<span style="font-family:courier new;"><span style="color:#cc33cc;"><strong><span style="font-size:180%;">ใบความรู้กิจกรรมที่ 2.4 เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงของหิน</span></strong><br /></span></span><span style="font-family:courier new;font-size:130%;">เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับหินมากมายถึงการกำเนิดของหินประเภทต่างๆ เราได้เรียนรู้ความแตกต่างของหินแต่ละชนิดว่าเกิดจากแร่ธาตุองค์ประกอบในหิน และเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนำหินชนิดต่างๆ มาใช้ประโยชน์แล้ว แล้วรู้หรือไม่ว่าหินมีการเปลี่ยนสภาพได้ ถึงแม้ว่าหินจะมีความแข็งแรงมาก แต่หินก็สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพได้โดยสาเหตุหลายประการ เช่น เมื่อหินถูกน้ำกัดเซาะ ถูกแดดเผา ถูกลมพัด ถูกกระแทก เป็นต้น<br /><br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:courier new;"><strong>สาเหตุการเปลี่ยนแปลงสภาพของหิน<br /></strong>สาเหตุการเปลี่ยนแปลงสภาพของหิน มี 2 สาเหตุหลักๆ ดังนี้<br />1.การผุพังอยู่กับที่<br />2.การกร่อน<br /><br />1.การผุพังอยู่กับที่<br />คือ การที่หินผุพังถูกทำลายด้วยกรรมวิธีต่างๆ โดยที่หินไม่มีการเคลื่อนที่ เช่น จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมทั้งการกระทำของต้นไม้ ตลอดจนการแตกตัวเนื่องจากการเพิ่มและลดอุณหภูมิสลับกันเป็นต้น ซึ่งสาเหตุนี้จะเกิดขึ้นกับหินตลอดเวลา<br /><br />การผุพังอยู่กับที่ยังแบ่งได้เป็น 2 เหตุย่อยๆ อีก นั่นก็คือ<br />1. กระบวนการผุพังที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี<br />2. กระบวนการผุพังที่เกิดจากกระบวนการทางกายภาพ<br /><br />1. กระบวนการผุพังที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี<br />คือ กระบวนการผุพังอยู่กับที่ ที่ทำให้สมบัติทางเคมีของหินเปลี่ยนแปลงไป เรียกว่า กระบวนการผุพังที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี ตัวอย่างเช่น การผุพังที่เกิดจากแร่เหล็กในหินกลายเป็นสนิมแล้วผุไป การผุพังเพราะการละลายของหินปูนเนื่องจากฝนหรือน้ำที่มีสภาพเป็นกรด<br /><br />2. กระบวนการผุพังที่เกิดจากกระบวนการทางกายภาพ<br />คือ กระบวนการผุพังอยู่กับที่ ที่ทำให้หินมีขนาดเล็กลงแต่ไม่ได้ทำให้สมบัติเคมีของหินเปลี่ยนไป เรียกว่า การผุพังที่เกิดจากกระบวนการทางกายภาพ เช่น การผุพังเนื่องจากความร้อนและแรงต่างๆ , แรงดันจากการขยายตัวของน้ำแข็ง แรงดันของรากต้นไม้ แรงดึงดูดของโลก </span></span>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-5211583163806254916.post-43752063657238397852009-11-02T11:12:00.000+07:002009-11-02T11:48:03.149+07:00ความสัมพันธ์ระหว่างหินและดิน ตอนที่ 1<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhffdktdxRBKL-7hjcqU2tkqSfJi5Grefqlh8S1TMDtHDlkA66oE0tRaZxFbc_sHncsWY8PTI_hE6F9IcRKw2m_ZiEAgx3W0mvwQraV1NLhBEkL6TxlPyjZqnDEPLmiOvORibFGs77R23HT/s1600-h/CA3ENF67.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5399358137939690626" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 131px; CURSOR: hand; HEIGHT: 126px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhffdktdxRBKL-7hjcqU2tkqSfJi5Grefqlh8S1TMDtHDlkA66oE0tRaZxFbc_sHncsWY8PTI_hE6F9IcRKw2m_ZiEAgx3W0mvwQraV1NLhBEkL6TxlPyjZqnDEPLmiOvORibFGs77R23HT/s320/CA3ENF67.jpg" border="0" /></a><br /><br /><p><span style="font-size:130%;color:#333399;">ก่อนที่เราจะเรียนรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหินและดิน เราควรเรียนรู้ในเรื่องพื้นฐานที่เกี่ยวกับโลก หิน และดินก่อน</span></p><p>โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ที่จัดอยู่ในประเภทดาวเคราะห์หินเพราะองค์ประกอบส่วนใหญ่ของโลกเป็นหิน </p><br /><br /><p>โลกประกอบไปด้วยส่วนทั้งหมด 3 ส่วน คือ<br /><strong><span style="font-size:130%;color:#000099;">1. ชั้นเปลือกโลก(Crust)</span></strong> แบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย คือ ภาคพื้นทวีป(Continental Crust) ที่มีองค์ประกอบหลักเป็นหินแกรนิต และภาคพื้นมหาสมุทร(Oceanic Crust) ที่มีองค์ประกอบหลักเป็นหินบะซอลต์ </p><br /><br /><p><strong><span style="font-size:130%;color:#3333ff;">2. ชั้นเนื้อโลก(Mentle)</span></strong> มีองค์ประกอบหลักเป็นหินที่เป็นของไหล มีการเคลื่อนที่ไปมาอยู่ใต้เปลือกโลก ในชั้นนี้จะมีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร </p><p><br /><strong><span style="color:#33ccff;">3. ชั้นแกนโลก(Core)</span></strong> เป็นชั้นที่มีอุณหภูมิที่สูงมากที่สุด </p><br /><p>จากข้อมูลเรื่องโครงสร้างของโลก เราจะพบว่าหินเป็นองค์ประกอบหลักของโลก เราอาจพบหินอยู่ทั่วไปบนพื้นโลก หินที่พบอาจมีลักษณะแตกต่างกันในเรื่องสี เนื้อหิน องค์ประกอบ ความหนาแน่น และอื่นๆ ซึ่งอาจจัดจำแนกหินเป็นกลุ่มๆ ได้ โดยใช้เกณฑ์ได้หลายรูปแบบ แต่ที่ใช้อย่างเป็นสากลคือการแบ่งประเภทตามลักษณะการเกิดของหิน ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้</p><p><span style="font-size:130%;color:#660000;"><strong>1.หินอัคนี</strong></span> เกิดจากการเย็นตัวแล้วแข็งตัวของหินหลอมเหลว โดยหินหลอมเหลวดังกล่าวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ลาวา คือ หินหลอมเหลวที่อยู่บนเปลือกโลก เมื่อเย็นจะได้หินอัคนีพุ ที่พบรูพรุนที่เนื้อหินเนื่องจากมีการเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว อากาศร้อนในหินจึงวิ่งออกมาสู่ภายนอกอย่างรวดเร็วเกิดเป็นรู เช่น หินพัมมิส หินบะซอลต์ และแมกม่า คือ หินหลอมเหลวที่อยู่ใต้เปลือกโลก เมื่อเย็นจะได้หินอัคนีแทรกซอน ที่มีผลึกเห็นชัดเจนและมักมีน้ำหนักมาก เนื่องจากเย็นตัวลงช้าๆ ทำให้เกิดการตกผลึกของแร่ธาตุองค์ประกอบ เช่น หินแกรนิต เป็นต้น</p><p><span style="font-size:130%;color:#990000;"><strong>2.หินตะกอนหรือหินชั้น</strong></span> เกิดจากการทับถมอัดแน่น และมีการเชื่อมประสานของตะกอนที่เกิดจากการผุพังของหินชนิดต่างๆ มักพบว่าหินมีลักษณะเปราะ แตกได้ง่าย หินกลุ่มนี้เราสามารถพบซากฟอสซิลได้เนื่องจากการทับถม เช่น หินทราย หินปูน หินดินดาน</p><p><span style="font-size:130%;color:#cc0000;"><strong>3.หินแปร</strong></span> เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม (ทั้งหินอัคนีและหินตะกอน) เนื่องจากความร้อนและความดันจากแรงกดทับภายใต้ผิวโลก มักมองเห็นชั้นในเนื้อหินได้ชัดเจน แต่มีลักษณะแข็งกว่าหินตะกอนมาก เช่น หินอ่อน หินชนวน</p>f&nthttp://www.blogger.com/profile/08574699716246564325noreply@blogger.com14